- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 September 2018 16:17
- Hits: 1211
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้
ให้น้ำหนักกับหุ้น Domestic Play
Smart Pick
สะสม CK
ราคาปิด 27.00 บาท
ราคาเหมาะสม 29.50 บาท
SET INDEX วานนี้ +2.3% จากปัจจัยบวกทางการเมือง ทำกลุ่มรับเหมาก่อสร้างบวกเด่น 3.6% ขณะที่ CK ขึ้นเพียง 1.9% จึงมีโอกาสที่ CK จะไต่ระดับขึ้นตามในวันนี้
นอกจากนั้น CK ยังมีปัจจัยบวกรออยู่กับโอกาสที่จะชนะงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มและม่วงส่วนต่อขยายค่อนข้างสูง เพราะ BEM เป็นผู้เดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงในปัจจุบัน จึงมีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุน โดยคาดว่าบอร์ด PPP จะอนุมัติโครงการภายในเดือน พ.ย.
สะสม SCC
ราคาปิด 442.00 บาท
ราคาเหมาะสม 510.00 บาท
เรามองว่าเป็นโอกาสสะสมกลุ่มปูนซีเมนต์ หลังความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นถึง 9% YoY และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ขณะที่ภาคเอกชนได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง
ราคาหุ้น YTD ลดลง -8.6% เทียบกับ SET INDEX -2.1% จึงมี Downside Risk จำกัด ราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ PER2561 เพียง 10 เท่า และให้ Yield 4%
สะสม TKS
ราคาปิด 11.40 บาท
ราคาเหมาะสม 13.70 บาท
TKS ได้ประโยชน์โดยตรงจากความคืบหน้าของ Roadmap เลือกตั้ง เพราะมีโอกาสสูงที่จะได้งานพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการของเรา
แนวโน้มกำไร 2H61 เราคาดขยายตัว HoH เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจ และงานพิมพ์แสตมป์จะช่วยหนุนกำไร 3Q61 ให้เติบโต QoQ รวมทั้งน่าสนใจเชิง Valuation ที่ระดับ PER2561 เพียง 11.7 เท่า และ Yield สูงถึง 6%
เก็งกำไร BJC
ราคาปิด 58.50 บาท
แนวต้านทางเทคนิค 61.00 บาท
ภาพทางเทคนิคจะเป็นสัญญาณบวก หากปรับตัวผ่าน 59.25 บาทได้ จะมีโอกาสขึ้นทดสอบบริเวณ 61.00 บาท แนวรับ 58.00 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 56.75 บาท
กลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นของการจัดเลือกตั้งช่วยหนุนกำลังซื้อของภาคบริโภคในประเทศ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค.ทำระดับสูงสุดในรอบ 64 เดือนที่ 83.2 จุด และรายได้เกษตรกร เดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น YoY เป็นเดือนที่ 4 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ
Profit-Taking : N.A.
กลยุทธ์วันนี้
วานนี้ SET INDEX ปิดบวกอย่างแข็งแกร่งและแรงกว่าที่เราคาด จากกรอบเวลาการเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งเรามองว่าเป็นปัจจัยหลักของการดีดตัววานนี้ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอย่างสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนคลายตัวลง ล่าสุดจีนตอบรับคำเชิญของสหรัฐฯ เพื่อเปิดการเจรจาแล้ว และดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าเป็นวันที่ 2 ย่อมเอื้อต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติกลับเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 14 วันทำการวานนี้ พร้อมกับ Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 กว่า 1.2 หมื่นสัญญา เรามองว่ากองทุนต่างชาติที่เป็น Active Fund จะทยอย Covered short หุ้นหลักของไทยและกลับมาเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทยอีกครั้งเมื่อเห็นกรอบการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เราประเมินว่า Downside risk ของ SET INDEX จำกัดมากขึ้น ภาพการไต่ขึ้นของ SET INDEX แบบ Sideways-to-Sideways-Up เพื่อทดสอบ 1,770-1,780 จุดในสิ้นเดือนนี้มีความเป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบ NYMEX พักฐานแรง 2.5% อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นเข้ามาในกลุ่ม Global Play จำกัด upside ของ SET INDEX วันนี้ เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ 1710-1725 จุด
มุมมองเชิงกลยุทธ์ เรายังคงให้น้ำหนักกับกลุ่ม Domestic Play ซึ่งได้รับกระเสเชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศ เราแนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มค้าปลีก (BJC/ ROBINS), ธนาคาร (BBL/ KBANK/ SCB/ KKP), กลุ่มนิคมฯ (AMATA), รับเหมาฯ (CK/ STEC/ UNIQ), วัสดุก่อสร้าง (SCC) หรือหุ้นขนาดเล็กอย่าง TKS ที่มี Upside Risk จากโอกาสในการได้งานพิมพ์บัตรเลือกตั้ง
สัปดาห์หน้าติดตามการประชุม กนง. วันที่ 19 ก.ย. ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาด กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% เช่นเดิม แต่จับตาการส่งสัญญาณต่อทิศทางนโยบายการเงินใน 4Q61 หลังจากเศรษฐกิจไทยเติบโตแข็งแกร่งปีนี้ ประกอบกับ เฟดยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง มีผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ กว้างมากขึ้น
HOT Topic
Hot Topic วันนี้
1. กลุ่มรับเหมาวานนี้ปรับตัวขึ้นเด่นสุด +3.6% และ SET INDEX บวกมากกว่าภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่าหุ้นไทยเด่นจากปัจจัยในประเทศ
2. จีนตอบรับคำเชิญของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาการค้ารอบใหม่
3. บทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มค้าปลีก... หุ้นตัวใดน่าสนใจซื้อลงทุนเพื่อเกาะกระแสไปกับการเลือกตั้ง
4. สัปดาห์หน้าติดตามการประชุม กนง. ในวันพุธหุ้นกลุ่มใดน่าเก็งกำไร และการปรับน้ำหนักดัชนี FTSE ในวันศุกร์
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
วานนี้ SET INDEX ได้รับแรงหนุนจากความชัดเจนของกรอบเวลาการการเลือกตั้ง ปิดที่ 1717.96 บวกถึง 38.57 จุด (+2.30%) เป็นการปิดบวกสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.2559 ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 7.9 หมื่นล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย.2561
กระแสเงินทุน : นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิวันแรกในรอบ 15 วันทำการราว 2 พันล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 สูงถึง 1.1 หมื่นล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิสะสมราว 1.3 หมื่นล้านบาท ทางด้านตลาด SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Long สุทธิเป็นวันที่ 2 อีกราว 1.2 หมื่นสัญญา รวม 2 วันทำการมีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 2.9 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 6.7 หมื่นสัญญา โดย S50U18 มี Discount จาก SET50 Index อยู่ราว 4 จุด จากวันก่อนราว 3.7 จุด ทางด้านสถาบันในประเทศและบัญชี บล. มีสถานะ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 อีกราว 1.4 หมื่นสัญญา รวม 2 วันทำการมีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 1.9 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 1.5 หมื่นสัญญา
ตลาดตราสารหนี้ : นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 อีกราว 2.7 พันล้านบาท รวม 5 วันทำการซื้อสุทธิสะสมราว 1.7 หมื่นล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
จีนตอบรับคำเชิญของสหรัฐฯในการเข้าร่วมเจรจาข้อตกลงทางการรอบใหม่
สหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อเดือน ส.ค. ขยายตัว 2.7%YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อยว่าจะขยายตัวตัว 2.8%YoY
แหล่งข่าวรายงานการเจรจาทางการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-แคนาดา ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายในเดือนนี้
ธนาคารกลางตุรกีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 6.25% จาก 17.75% เป็น 24% ส่งผลให้ค่าเงินลีราตุรกีแข็งค่าสู่ระดับ USD/TRY 6.84
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม พร้อมยืนยันจะเริ่มลดวงเงิน QE สู่ระดับ 1.5 หมื่นล้านยูโร/เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2561 และยุติมาตรการ QE ในช่วงสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.75% พร้อมแสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนของการเจรจา Brexit
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันโลกแตะระดับ 100 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน ส.ค. 2561 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC แตะระดับ 32.63 ล้านบาร์เรล/วัน สูงสุดในรอบ 9 เดือน
ม.หอการค้า ปรับประมาณการ GDP ปี 61 ขึ้นเป็น 4.4%-4.8% จากเดิมที่ระดับ 4.0%-4.5%
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
ติดตามการรายงานเงินเฟ้อยุโรป วันที่ 17 ก.ย.
ติดตามการประชุมกนง. และการประชุมธนาคารญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 19 ก.ย.
ติดตามการรายงานนำเข้า/ส่งออกไทยเดือน ส.ค. 2561 ตลาดคาดส่งออกขยายตัว 4.0% YoY และการรายงานเงินเฟ้อญี่ปุ่นเดือนส.ค. วันที่ 21 ก.ย.
การปรับน้ำหนักดัชนี FTSE ณ ราคาปิดวันที่ 21 ก.ย.
Strategist Team
Mayuree Chowvikran Head of Research , 662-009-8050
Padon Vannarat Strategist , 662-009-8060
Piyapat Patarapuvadol Strategist , 662-009-8062
Nutt Treepoonsuk Strategist , 662-009-8059
OO13805