- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 13 September 2018 15:55
- Hits: 9609
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ความหวังเลือกตั้ง เจรจาการค้าครั้งใหม่ น้ำมันหนุน SET”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index รีบาวด์ +6.97 จุด ปิดที่ 1679.39 จุด เกิดแรงซื้อกลับช่วงท้ายตลาดฯ หลังราชกิจจาฯ ประกาศ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ การได้มาซึ่ง ส.ว.บ่งชี้การเลือกตั้งมีความคืบหน้าว่าจะอยู่ในช่วงโรดแมป ก.พ.-พ.ค.61 แม้ยังมีเรื่องค้างคาปัจจัยต่างประเทศคือ สงครามการค้าที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่ม จะจัดการการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น และคาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 ปีนี้ ในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐเพิ่ม เงินไหลออก วิกฤติค่าเงิน EM มูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นเป็น 59.7 พันล้านบาท หุ้นกลุ่มหลักฟื้นตัว โดยเฉพาะ พลังงาน ธนาคารและขนส่ง ด้านผู้ขายสุทธิเป็น ต่างชาติ 1.6 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 1.5 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.6 พันล้านบาท และสถาบัน 1.5 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสรีบาวด์ได้ต่อ จากปัจจัยบวกในประเทศคือ ความหวังการเลือกตั้งไทยที่จะเกิดขึ้นตามโรดแมป ความคืบหน้ากองทุน TFFIF ด้านปัจจัยต่างประเทศที่ดีขึ้นคือ ราคาน้ำมันและดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการค้าสหรัฐฯเตรียมการเจรจาครั้งใหม่กับจีน ดัชนีความกลัว (VIX) ลดลง แม้ปัจจัยต่างประเทศที่ยังคอยกดดันคือความไม่แน่นอนสงครามการค้าจีน-สหรัฐ นอกจากนี้สหรัฐจะจัดการกับญี่ปุ่นมากขึ้นในเรื่องการค้า คาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 ปีนี้ ในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ หลังตัวเลขเกี่ยวกับแรงงานออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี เพิ่มขึ้น วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลาย ด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้นและเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย และมีความคืบหน้าเลือกตั้งปีหน้า ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ Mix แคบๆ แต่ญี่ปุ่นปรับขึ้นดี ดาวโจนส์ล่วงหน้า +19 จุด (7.56 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง นั่นคือระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมา ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1660-1700 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10%
Update หุ้นเด่น: CK – คาดว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะได้รับประโยชน์โดยตรง เมื่อการเลือกตั้งไทยมีความคืบหน้า ข้อดีคือ บริษัทร่วมมีแนวโน้มจะให้กำไรเข้ามายัง CK มากขึ้นหลังจากในงวด 1H61 เติบโตถึง 50% y-o-y เป็น 475 ล้านบาท และถือเป็นแรงผลักดันการเติบโตในระยะสั้นนี้ คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 30.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOP ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 13% คาดว่าความคืบหน้าการประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในช่วง 4Q61 จะเป็นแรงกระตุ้น (Catalyst) ราคาหุ้นได้ และบริษัทได้ประโยชน์จากบริษัทในกลุ่มทั้งการผสานธุรกิจ และได้งานใหม่ๆ เช่น BEM, CKP และ TTW
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวรับสั้นคือ 1660-1650 แนวต้าน 1690-1700
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SCB, STEC, HMPRO, PLANB, BCH หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL, GULF, VGI, RJH, AP หุ้นที่หลุด List - หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit KCE, CKP, SAWAD
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น แต่ Nasdaq ลด
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,998.92 จุด เพิ่มขึ้น 27.86 จุด หรือ +0.11% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด หรือ +0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,954.23 จุด ลดลง 18.25 จุด หรือ -0.23%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐเตรียมเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวลง ซึ่งรวมถึงหุ้นแอปเปิล แม้ทางบริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone ใหม่ 3 รุ่นเมื่อวานนี้ก็ตาม แต่นักลงทุนบางกลุ่มมองว่าไม่ค่อยมีอะไรใหม่
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น สต็อกน้ำมันดิบลด ติดตามพายุเฮอร์ริเคน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. พุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 70.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 79.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนจับตาผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน "ฟลอเรนซ์" ซึ่งจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐในวันศุกร์นี้
• ทองคำ : ปรับขึ้น เงินดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 8.7 ดอลลาร์ หรือ 0.72% ปิดที่ 1,210.9 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
+/• สหรัฐฯจะมีการเจรจาการค้ากับจีนอีกครั้ง
# นักลงทุนขานรับรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐกำลังหาทางเริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่จีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า
+/• เริ่มมีการต่อต้านนโยบายภาษีนำเข้าจากทรัมป์ อาจมีผลต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ
# รายงานข่าวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ภาคธุรกิจสหรัฐได้รวมตัวกันใช้ชื่อว่า Americans for Free Trade เพื่อต่อต้านนโยบายการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกลุ่มดังกล่าวได้ทำการรณรงค์โดยใช้ชื่อว่า Tariffs Hurt the Heartland โดยมีการซื้อโฆษณา และจัดการประชุมในรัฐต่างๆ พร้อมกับเชิญชวนให้สมาชิกสภาคองเกรสเข้าร่วมงานรณรงค์ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าที่รัฐเพนซิลเวเนีย อิลลินอยส์ และเทนเนสซี
+/• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐประกาศวานนี้ ปานกลาง-อ่อน
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐขยายตัวในระดับปานกลาง ขณะที่ภาคธุรกิจยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า เนื่องจากการที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเมื่อไม่นานมานี้ ได้ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นทั่วสหรัฐ
# ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว หลังจากทรงตัวในเดือนก.ค.
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ ราชกิจจาฯ ประกาศ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ การได้มาซึ่ง ส.ว.
# รายงานข่าว แจ้งว่า ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ.2561 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ.2561 แล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน
# ผลกระทบ: กกต.จะมีการออกราชกฤษฏีกาเลือกตั้งตามมา และคาดว่าการเลือกตั้งจะยังอยู่ในช่วงโรดแมป หรือห่างออกไปไม่มาก เท่าที่ทีมกลยุทธ์ประเมินคือ ก.พ.-พ.ค.62 หลักทรัพย์กลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจะเป็น รับเหมาก่อสร้างวัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม (การลงทุน) และรองลงมาคือ พาณิชย์ ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์
+ วันนี้ สคร.แถลงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF)
# สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำหนดจัดแถลงข่าวในวันนี้เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยการระดมทุนจากประชาชนผ่านกลไกของตลาดทุน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสามารถนำเงินมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้อย่างรวดเร็ว
+/• รมว.คลัง ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
# รมว.คลัง ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายแต่อย่างไรก็ดี คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะมีการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 19 ก.ย.นี้
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13752