WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
 
“น้ำมัน ดาวโจนส์ดีขึ้น แต่สงครามการค้ายังกดดัน”
 
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ลดลงมาก -19.09 จุด ปิดที่ 1672.42 จุด เกิดแรงขายช่วงบ่าย สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค วานนี้มีข่าวลบเครดิต สวิสประกาศลดน้ำหนักหุ้นไทย อีกทั้งปัจจัยต่างประเทศยังรุมเร้าคือ สงครามการค้าที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่ม จะจัดการการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น และคาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 ปีนี้ ในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐเพิ่ม เงินไหลออก วิกฤติค่าเงิน EM มูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นเป็น 50 พันล้านบาท หุ้นกลุ่มหลักปรับลง โดยเฉพาะ พลังงาน ธนาคาร และขนส่ง ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวเป็น ต่างชาติ 3.4 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือนักลงทุนทั่วไป 2.4 พันล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ 0.6 พันล้านบาทและสถาบัน 0.4 พันล้านบาท
  แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสรีบาวด์ จากปัจจัยบวกราคาน้ำมันและดาวโจนส์ปรับขึ้นดี แต่มีข่าวลบเครดิต สวิส ลดน้ำหนักหุ้นไทย ปัจจัยต่างประเทศคอยกดดันจากสงครามการค้าล่าสุดจีนร้องต่อ WTO จะคว่ำบาตรสหรัฐ หลังทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่มอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้สหรัฐจะจัดการกับญี่ปุ่นมากขึ้นในเรื่องการค้า คาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 ปีนี้ ในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ หลังตัวเลขเกี่ยวกับแรงงานออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี เพิ่มขึ้น ดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อนเล็กน้อย มีเงินไหลออก วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลาย ด้านข่าวดี คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้น และเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย และมีความคืบหน้าเลือกตั้งปีหน้า ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งลบแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -14 จุด (7.59 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น นั่นคือระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมา ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1660-1695 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10%
  Update หุ้นเด่น: JASIF – คงคำแนะนำ ซื้อ เป็นหลุมหลบภัยชั้นดี ยาม SET ผันผวนสูง สำหรับราคาพื้นฐานให้ไว้เป็น 11.00 บาท ประเมินด้วยวิธี DCF (WACC 8.2%) ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 7% เทียบกับราคาพื้นฐาน แต่อัตราผลตอบแทนปันผลอยู่ในระดับสูงเยี่ยมปีนี้และปีหน้าคาดไว้ที่ 9.0%/9.3% ตามลำดับ สำหรับอัตราผลตอบแทนรวมเป็น 16% และคาดว่าหลังจากซื้อสินทรัพย์เฟส 2 แล้วในอนาคตเงินปันผล จะเพิ่มขึ้นได้เป็นระดับ 10% ทีเดียว สืบเนื่องจากคาดว่าบริษัทมีแผนจะใช้เงินกู้ในสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 22% ณ ปลายปี 62 จากปัจจุบันที่เป็น 0% ต้นทุนการเงินจึงจะต่ำลงไปได้อีก
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆ ก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวรับสั้นคือ 1670-1660 แนวต้าน 1680-1690
  สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ AP, KCE, CKP, SAWAD หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL,GULF,VGI,RJH หุ้นที่หลุด List AUCT, KTB, SCB, TCMC, GLAND หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit COTTO, KSL
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น หุ้นแอปเปิลช่วยหนุน
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,971.06 จุด เพิ่มขึ้น 113.99 จุด หรือ +0.44% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,887.89 จุด เพิ่มขึ้น 10.76 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,972.47 จุด เพิ่มขึ้น 48.31 จุด หรือ +0.61%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิล ก่อนที่ทางบริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone X ใหม่ 3 รุ่นในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นกว่า 2% อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่าจีนเตรียมขออนุมัติจากองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อทำการคว่ำบาตรสหรัฐ
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น EIA เพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมัน มีพายุเฮอร์ริเคน
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. พุ่งขึ้น 1.71 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 69.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.69 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 79.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) หลังจากสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ และยังได้ปรับลดคาดการณ์การผลิตน้ำมันในสหรัฐด้วยเช่นกัน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากพายุเฮอร์ริเคน "ฟลอเรนซ์" รวมทั้งรายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้
• ทองคำ : ปรับขึ้น กังวลสงครามการค้า เข้าสินทรัพย์ปลอดภัย
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.4 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่ 1,202.2 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สกัดแรงบวกในระหว่างวัน
-จีนตอบโต้สหรัฐ ขออำนาจคว่ำบาตรจาก WTO
  # ระเบียบวาระการประชุมของ WTO ระบุว่า จีนจะขออำนาจในการคว่ำบาตรสหรัฐในการประชุมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO ในวันที่ 21 ก.ย. โดยคำร้องของจีนระบุว่า สหรัฐไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของ WTO กรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดจากจีน ซึ่งจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO ในปี 2556
-สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์
  # สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ
  # ปธน.ทรัมป์กล่าวข้อความข้างต้นเพิ่มเติม หลังจากผ่านพ้นกำหนดเส้นตายที่กำหนดไว้ในช่วงเที่ยงคืนวันพฤหัสตามเวลาสหรัฐ หรือเมื่อวานนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย สำหรับการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐต่อมาตรการเก็บภาษีจีนเพิ่มในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนในวันที่ 22-23 ส.ค.ได้สิ้นสุดลงโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันคิดเป็นวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์
- ดอลลาร์แข็งค่า แตะระดับ 95.24 จุด
  # ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.11% แตะระดับ 95.24 เมื่อคืนนี้
+/- ตัวเลขเศรษฐกิจสต็อกสินค้าคงคลังต่ำกว่าคาด แต่ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมเพิ่ม
  # สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. โดยต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นซึ่งระบุว่าเพิ่มขึ้น 0.7% ขณะที่สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมพุ่งขึ้นสู่ระดับ 108.8 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปรับตัวขึ้นจากระดับ 107.9 ในเดือนก.ค.
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศสัปดาห์นี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ ตลาดหลักทรัพย์เผยผลสำรวจผู้บริหาร บจ.ออกมาดี
  # ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (CEO Survey) :Economic outlook ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 61 พบว่า ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (CEO) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วง 6 เดือนหลังของปี 61 จะเติบโตต่อเนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี และเศรษฐกิจไทยในปี 61 จะเติบโตในช่วง 3-4%
+ สคร.จัดเก็บรายได้แผ่นดิน 11 เดือนแรกปี 60-61 เพิ่ม 19%
  # ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2561 (ต.ค.60-ส.ค.61) สคร.สามารถจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน จำนวน 150,458 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการจัดเก็บรายได้แผ่นดินสะสมจำนวน 24,168 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19% ของเป้าหมายรายได้แผ่นดินสะสม โดยในเดือนสิงหาคม 2561 สคร.จัดเก็บรายได้แผ่นดินได้ จำนวน 4,140 ล้านบาท
+ มูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่ค้าขยายตัวเพิ่มได้ต่อเนื่อง
  # อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่ค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะอาเซียนกับประเทศคู่ FTA 6 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 37% โดยจีนมีการค้ากับอาเซียนมากที่สุด รองลงมาเป็นสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่วนสหภาพยุโรปมีมูลค่าการลงทุนในอาเซียนมากที่สุด รองลงมาเป็นญี่ปุ่น และจีน ในขณะที่อินเดียลงทุนในอาเซียนเติบโตแบบก้าวกระโดด
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13705

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!