- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 September 2018 14:45
- Hits: 3260
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
สงครามการค้า และค่าเงินโลกผันผวน กดดัน fund flow ไหลออก แต่พายุเฮอริเคนรุนแรงที่ชายฝั่งสหรัฐ หนุนค่าการกลั่นฟื้นตัวช่วงสั้น (บวกต่อ TOP, BCP, ESSO, SPRC) กลยุทธ์ยังชอบหุ้น Domestic Play ที่อิงสาธารณูปโภค (RATCH, EASTW, SEAFCO) สินค้าอุปโภคบริโภค (ROBINS, BJC) มีเงินสดสุทธิ (VGI, MACO, PLANB) และหุ้นส่งออก (CPF, TU, HANA) Top Picks SEAFCO(FV@B11) เริ่มรับรู้รายได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้า ส้ม/ชมพู และ The One Bangkok ยาวถึงปลายปี 2562 และยังมีโอกาสได้งานใหม่ ทางด่วนดาวคะนอง และPTT(FV@B54) ราคาหุ้นลงจนมี upside สูง และน่าจะได้ประโยชน์จากพายุเฮอริเคน
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย…. หุ้นขนาดใหญ่ร่วง กดดัน SET
วานนี้ SET Index แกว่งตัวแคบๆ ในช่วงเช้า ก่อนจะมีแรงขายกดดันในช่วงบ่ายปิดตลาดที่ 1672.42 ลดลง 19.09 จุด หรือ 1.13% มูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นล้านบาท แรงกดดันหลักๆ มาจากหุ้นขนาดใหญ่ นำโดย PTT ลดลง 3% ตามด้วย AOT ลดลง 3.5% และ KBANK ลดลง 2.4% เช่นเดียวกับหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่ม ธ.พ. ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ขณะที่กลุ่ม ICT ยังมีประเด็นลบกดดัน โดย DTAC ราคาหุ้นลดลง 1.12% สะท้อนความกังวลหาก กสทช. ไม่เยียวยาคลื่น 850 Mhz เช่นเดียวกับ TRUE ราคาหุ้นร่วงต่ออีก 1.72% กังวลต่อประเด็นที่ต้องจ่ายเงินชดเชยรัฐ จำนวนเงินสูง
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนต่ำกว่า 1690 จุด ให้น้ำหนักต่อสงครามการค้าโลก โดยคาดสหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 2 แสนล้านเหรียญฯ หลังทำ public hearing แล้ว และจะเพิ่มอีก 2.6 แสนล้านเหรียญ โดยรวมสหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนทุกรายการ (อัตรา 25%) ถือว่าเป็นกรณีเลวร้ายสุด ขณะเดียวกันสหรัฐยังเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่น เพราะได้ดุลการค้าสหรัฐ สูงอันดับ 3 รองจากจีนและเม็กซิโก แต่พายุเฮอร์ริเคนที่เกิดขึ้นแถบชายฝั่งสหรัฐ จะหนุนน้ำมัน และค่าการกลั่นช่วงสั้น จึงถือเป็นปัจจัยหุ้น PTTEP, PTT, TOP, ESSO, BCP แต่เศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับความเสียหายช่วงสั้นเช่นกัน
จีนเตรียมฟ้อง WTO ถ้าสหรัฐขึ้นภาษีอีก 2 แสนล้านเหรียญฯ
สงครามการค้าสหรัฐ-จีนยังคงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากสหรัฐประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนรอบที่ 4 อีก 2.67 แสนล้านเหรียญฯ ขณะที่รอบที่ 3 วงเงิน 2 แสนล้านเหรียญอัตราภาษี 25% เพิ่งทำประชาพิจารณ์เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ยังรีรอที่จะประกาศ ทั้งนี้หากรวมทั้ง 4 รอบ เท่ากับสหรัฐจะกีดกันภาษีนำเข้าจากจีนทุกรายการ เท่ากับยอดที่นำเข้าทั้งหมดในปี 2560 5.17 แสนล้านเหรียญฯ ขณะที่จีนน่าตอบโต้ได้จำกัดเพียง 1.54 แสนล้านเหรียญฯ เท่ากับยอดที่จีนนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าจีนอาจจะหาวิธีการตอบโต้อื่นที่มิใช่ภาษี (Non Tariff) ล่าสุดคือ จีนเตรียมฟ้องร้องต่อองค์กรการค้าโลก (WTO) ในสัปดาห์หน้าวันที่ 21 ก.ย. ต่อประเด็นที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าต่อจีนไม่เป็นไปตามกฎของ WTO
หากพิจารณาในอดีต 5 มี.ค. 2543 สมัยประธานาธิบดีจอร์จ บุช (พรรครีพับลิกัน) มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กใน 10 ประเภทอัตราภาษี 8-30% ต่อเกือบทุกประเทศทั่วโลก ยกเว้น แคนาดา, เม็กซิโก, ไทย ทำให้สหภาพยุโรป (EU) และอีกหลายประเทศยื่นฟ้องต่อ WTO ซึ่งสหรัฐแพ้คดีและต้องยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในช่วงต้นปี 2545 ซึ่งประเด็นนี้อาจจะทำให้จีนเป็นต่อสหรัฐได้
พายุเฮอริเคน หนุนค่าการกลั่นและราคาน้ำมันฟื้นตัวช่วงสั้น
ระยะสั้นดูเหมือนภัยธรรมชาติจะช่วยประคองหุ้นพลังงาน เพราะล่าสุด พายุเฮอริเคน Florence ความเร็วลมสูงสุด 140 ไมล์/ชั่วโมง และรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี หรือรุนแรงระดับ 4 ซึ่งจะเข้าสู่ชายฝั่งของรัฐนอร์ทแคโรไลนา และเซาท์แคโรไลนาในวันนี้ (โดยในปี 2560 สหรัฐเผชิญพายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 4 ทั้งหมด 2 ลูกชื่อ Irma และ Maria ระยะเวลาพายุ 1 เดือน คือ ตลอดเดือน ก.ย. ราคาน้ำมันขึ้น 10%) และแรงหนุนจาก Dollar index ที่อ่อนค่าช่วงสั้นราว 1.89% นับตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. แต่แข็งค่า 3.3% นับตั้งแต่ต้นปี เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบช่วงสั้น
ASPS ยังมีภาพระยะกลาง-ยาว ต่อราคาน้ำมันไม่ดีนัก จากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้นแล้ว จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง เนื่องจากสหรัฐบริโภคสูงสุด 24.9 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิด 25.5% ของการบริโภคน้ำมันในตลาดโลก และจีนอันดับ 2 12.5 ล้านบาร์เรล/วัน ราว 12.8% จึงยังแนะนำขายหุ้นน้ำมันและโรงกลั่น
แต่อย่างไรก็ตามภาวะที่เกิดภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น มักเกิดความเสียหายกับโรงกลั่น ซึ่งทำให้การผลิตน้ำมันสำเร็จรูปอาจจะน้อยกว่าปกติจะหนุนค่าการกลั่นช่วงสั้น ซึ่งดีต่อหุ้นโรงกลั่น คือ TOP, BCP, ESSO, SPRC รวมถึงราคาหุ้นน้ำมันบางแห่งที่ลงแรง จนราคาหุ้นมี upside ราว 10% เช่น PTT(FV@B54) จึงแนะนำให้ซื้อลงทุนระยะสั้น นอกจากเชื่อว่าราคาหุ้น PTT ที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นความกังวลปัญหาสงครามการค้าแล้ว น่าจะเป็นเรื่องการจ่ายปันผลงวด 1H61 ที่ล่าช้ากว่าปกติที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. จะเลื่อนเป็นเดือน ต.ค. ซึ่งน่าจะเป็นการปรับการจ่ายให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (PTT จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท ปลายเดือน ก.ย.และน่าจะแจ้งตลาด เงินปันผลต่อหุ้นและวัน XD ในเดือน ต.ค.)
ต่างชาติขายหุ้นเกือบทุกแห่งในภูมิภาค รวมถึงไทย
วานนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียหยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันปีใหม่อิสลาม ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมพบว่า ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 159 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นไต้หวันเพียงแห่งเดียวที่ถูกซื้อสุทธิ 94 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลือถูกขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ 138 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว), ฟิลิปปินส์ 11 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 9) และไทยที่ต่างชาติยังเดินหน้าขายสุทธิอีก 103 ล้านเหรียญ หรือ 3.40 พันล้านบาท (ตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. เป็นต้นมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น และมียอดขายสุทธิรวมสูงถึง 3.10 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 378 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 573 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) หนุน Bond Yield 10 ปี ของไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.78%
ปรับเพิ่มกำไร โดยยังชอบ SEAFCO แต่ลดคำแนะนำ COM7
ในช่วงนี้นักวิเคราะห์ยังมีการปรับปรุงประมาณการกำไร ซึ่งล่าสุดมีการปรับเพิ่มกำไรของ SEAFCO และ COM7 สะท้อนพัฒนาการเชิงบวกในระยะสั้น แต่ลดคำแนะนำ COM7 โดยยังคงซื้อ SEAFO ดังนี้คือ
SEAFCO (FV@B11): ภาพความสามารถทำกำไรชัดเจนขึ้น เมื่อโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีชมพู เดินหน้า (งานฐานรากและเสาเข็ม) และจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนนี้ถึงปลายปีหน้า เช่นเดียวกับงานเหมาก่อสร้างภาคเอกชน อย่าง The One Bangkok ที่เดินหน้าแล้วเช่นกัน ซึ่ง จะทำให้รับรู้รายได้และทำกำไรสูงสุดในงวด 3Q61 โดยประเมินว่า SEAFCO จะมีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 800 ล้านบาท เทียบกับ 656 ล้านบาท งวด 1Q61 ขณะที่กำไรสุทธิจะสูงกว่า 100 ล้านบาท ถือเป็นสถิติใหม่ ขณะที่ยอด Backlog ณ สิ้น 2Q61 สูงเกือบ 3.4 พันล้านบาท รองรับรายได้ไปได้ถึงกลางปี 2562 และหลังจากนี้น่าจะมีโอกาสได้งานก่อสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เช่น ทางด่วนดาวคะนอง 3.0 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 5 สัญญาคาดว่าน่าจะแบ่งเค้กกันระหว่างผู้รับเหมาทุกราย งานก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง และเตรียมเข้าประมูลงานใหญ่ในเมียนมาร์มูลค่าราว 200 ล้านบาท
ด้วยกำไร 1H61 ที่แข็งแกร่ง และ 2H61 ที่เป็นช่วง Peak ของการรับรู้รายได้ทุกโครงการใหญ่ และประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้นอีก 9% จากเดิม ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ปี 2561 อยู่ที่ 334 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึงกว่า 58%yoy อย่างไรก็ตาม การเติบโตจะทรงตัวในปี 2562-63 ฝ่ายวิจัยจึงปรับไปใช้ Fair Value ปี 2562 ที่ 11 บาท อิง PER 22 เท่า ลดลงจากสมมติฐานเดิมที่ 24 เท่า (Fair Value ปี 2561 10.91 บาท) ภายใต้หลักความระมัดระวัง เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา SEAFCO ซื้อขายกันบน PER เฉลี่ย 24-25 เท่า อย่างไรก็ตามภายใต้กำไรใหม่ หุ้น SEAFCO มีค่า PER 17.6 เท่า ต่ำกว่า PYLON 21.63 เท่า
COM7([email protected]): แม้เห็นพัฒนาการเชิงบวกในช่วงสั้น ทั้งยอดขายสาขาเดิม(SSSG) SG&A / Sales ลดลง และ การเติบโตที่ยังเหนือคู่แข่ง ผ่านกลยุทธ์ใหม่ คือ เพิ่มร้านค้ารูปแบบ “เอาท์เล็ตไอที” เน้นขายสินค้าที่มีการตั้งสำรองฯ การด้อยค่า ซึ่งจะทำให้บริษัทมีอัตรากำไรจากสินค้านั้นสูงขึ้น จึงนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61-62 ขึ้นจากเดิมเฉลี่ยปีละ 13%
แต่แนวโน้มการเติบโตในระยะกลาง-ยาว จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง เพราะการซื้อกิจการที่น้อยลง และตลาดสินค้าไอที ที่อิ่มตัว นอกจากนี้ในปี 2562 คาดว่าผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ – จีน ชัดเจนขึ้น กดดันราคาสินค้าแบรนด์ Apple สูงขึ้น อาจกระทบยอดขาย (สัดส่วนรายได้จากแบรนด์ Apple ราว 40%) เพื่อความระมัดระวังจึงปรับลด Terminal growth เหลือ 1% จากเดิม 2% มูลค่าพื้นฐานปีนี้คือ 17.6 บาท (เดิม 18.9 บาท) ราคาหุ้นมี downside จึงลดคำแนะนำเป็น Switch ไป BJC (FV@B69)
SET ยังผันผวนและ ต่ำกว่า 1690 จุด เน้น Domestic Play
นอกจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงครามการค้า และ ความผันผวนค่าเงิน กดดัน fund flow ไหลออกจากตลาดเงินใหม่ โอกาสปรับลดประมาณการกำไรปี 2562 ยังมีความเป็นไปได้ที่ลดลงราว 2 บาทต่อหุ้น ซึ่งน่าจะมีผลทำให้ P/E ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขยับขึ้นสูงกว่าปัจจุบัน ซึ่งภายใต้ประมาณการ EPS เดิมที่ 110.78 บาท ซึ่งกำหนดดัชนีเป้าหมายปี 2561 อยู่ที่ 1662 จุด (อิง P/E 15 เท่า) กลยุทธ์การลงทุน จึงยังเน้น Domestic Play ดังนี้
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศ : ROBINS, BJC, ADVANC
หุ้นก่อสร้าง และ วัสดุก่อสร้าง : SCC, SCCC, DCC, SEAFCO
หุ้นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน : EASTW, TTW, RATCH, BGRIM
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น
ธนาคาร : BBL, TCAP
มีเงินสดสุทธิ : VGI, MACO, PLANB
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และราคาหุ้นยัง Laggard : TU, CPF, HANA
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO13694