- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 September 2018 00:15
- Hits: 7103
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เก็งกำไรรีบาวด์ต่อ แต่เครดิตสวิสลดน้ำหนักหุ้นไทย”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index เพิ่มขึ้นได้ +2.02 จุด ปิดที่ 1691.51 จุด เชื่อว่าเป็นการรีบาวด์ทางเทคนิค เพราะปัจจัยต่างประเทศยังรุมเร้าคือ สงครามการค้าที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่มอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อใดก็ได้ แม้เรื่องการจะจัดเก็บ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐยังไม่เรียบร้อยก็ตาม และจะจัดการการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น คาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 ปีนี้ ในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ หลังตัวเลขจ้างงานและค่าจ้างรายชั่วโมงออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐเพิ่ม เงินไหลออก วิกฤติค่าเงิน EM มูลค่าการซื้อขายเบาบางเป็น 33 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิเป็น สถาบัน 0.6 พันลบ. พอร์ตโบรกเกอร์ 0.3 พันล้านบาท และต่างชาติ 0.2 พันล้านบาท และ ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.1 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET พยายามรีบาวด์ แต่มีข่าวลบเครดิต สวิส ลดน้ำหนักหุ้นไทย ปัจจัยต่างประเทศยังไม่สดใส จากสงครามการค้าที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่มอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อใดก็ได้ เพิ่มจาก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและจะจัดการการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น คาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 ปีนี้ ในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ หลังตัวเลขจ้างงานและค่าจ้างรายชั่วโมงออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี และค่าความกลัว (VIX)สหรัฐลดลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูง เงินจะไหลออก วิกฤติค่าเงิน EM น้ำมันปรับลง ด้านข่าวดี คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้น และเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย และมีความคืบหน้าเลือกตั้งปีหน้า ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งบวกแคบ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +26 จุด (8.02 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น แต่ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมา ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไปแต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1670-1700 จุด แต่หากดัชนีลดต่ำกว่าระดับ 1685 จุด จะเป็นสัญญาณไม่ดีนัก SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ระดับ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10%
Update หุ้นเด่น: KKP – สินเชื่อขยายตัวสูง โดยสินเชื่อ 1H61 เติบโตสูงถึง 10.2%YTD เทียบเป้าหมายของปีนี้ที่ 10% แต่ผู้บริหารคาดว่าปีนี้โตได้ถึง 15% คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นโดย NPL Ratio ยังลดลงต่อ ณ สิ้นมิ.ย.61 อยู่ที่ 4.5% (จาก 5.0% ในสิ้นปี 60 และ 5.6% ในสิ้นปี 59) ประมาณการเงินปันผลปีนี้ไว้เท่าปีก่อนที่ 5 บาท (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) ซึ่งให้ Yield สูงถึง 6.7% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 92 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ที่ 1.7 เท่า มีส่วนเพิ่มอีก 23%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เหมือนจะเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวรับสั้นคือ 1670-1660 แนวต้าน 1695-1700
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TCMC, COTTO, GLAND, GULF, VGI, RJH, KSL หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL, TTCL, AUCT, KTB, SCB หุ้นที่หลุด List SVI, PSL หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit ASIAN
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง ยังกังวลสงครามการค้า แต่ S&P 500 และ Nasdaq เพิ่ม
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,857.07 จุด ลดลง 59.47 จุด หรือ -0.23% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,924.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.62 จุด หรือ +0.27% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,877.13 จุด เพิ่มขึ้น 5.45 จุด หรือ +0.19%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยล่าสุดทางการจีนประกาศความพร้อมที่จะตอบโต้ทันที หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
-/+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง กังวลพายุเฮอร์ริเคนฉุดอุปสงค์ลง แต่เบรนท์ปรับขึ้น
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 21 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 67.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 77.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) จากความกังวลที่ว่าพายุเฮอร์ริเคน "ฟลอเรนซ์" ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกจะส่งผลกระทบต่อความต้องการพลังงานในแถบอีสต์โคสต์ของสหรัฐอย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งการคาดการณ์เกี่ยวกับปริมาณน้ำมันที่ลดลงจากอิหร่านจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ
• ทองคำ : ปรับลง กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 60 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 1,199.80 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นอย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนทองคำในระหว่างวัน
-จีนพร้อมตอบโต้สหรัฐ หากเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่อีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์
# ล่าสุดนายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนจะตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ต่อสินค้าจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่วงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์นอกเหนือจากที่มีแผนเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
-สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์
# สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ
# ปธน.ทรัมป์กล่าวข้อความข้างต้นเพิ่มเติม หลังจากผ่านพ้นกำหนดเส้นตายที่กำหนดไว้ในช่วงเที่ยงคืนวันพฤหัสตามเวลาสหรัฐ หรือเมื่อวานนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย สำหรับการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐต่อมาตรการเก็บภาษีจีนเพิ่มในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนในวันที่ 22-23 ส.ค.ได้สิ้นสุดลงโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันคิดเป็นวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์
+ ดอลลาร์อ่อนค่า หลัง Brexist อังกฤษดูราบรื่น
# สกุลเงินปอนด์และยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) ขานรับความหวังที่ว่า อังกฤษจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับการแยกตัวออกจาก EU (Brexit) ภายใน 6-8 สัปดาห์นี้
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.,การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
-เครดิต สวิส ลดน้ำหนักหุ้นไทยอยู่ในเกณฑ์แพง แม้เศรษฐกิจดี
# ลดน้ำหนัก 'ต่ำกว่าตลาด' เหตุแพง จับตาสภาพคล่องโลกฉุดลงทุน: เครดิต สวิส ชี้หุ้นไทยแพง แม้เศรษฐกิจแกร่ง ราคาควรลงจากพี/อี ปัจจุบันอีก 10% จับตาสภาพคล่องโลก ระเบิดเวลาลูกใหม่
# นายพรชัย ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เครดิต สวิส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ระดับ "ต่ำกว่าตลาด" เนื่องจากมูลค่าหุ้นแพงแล้ว ขณะที่มองว่าความน่าสนใจในการลงทุนราคาปิดต่อกำไร (พี/อี) ควรต่ำกว่าปัจจุบันประมาณ 10%
+ ส.นักวิเคราะห์ คาด SET สิ้น ก.ย. 61 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,735 จุด -เป้า SET สิ้นปีนี้ 1,794 จุด
# ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนี ราคาหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนกันยายนจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,735 จุดสำหรับปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในระยะสัน้ นั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเรื่องปัจจัยสงครามการค้าโลก เป็นปัจจัยลำดับแรกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น รองลงมาคือ Fund Flows ของต่างชาติและกองทุน และการเลือกตั้งของไทยตามลำดับ
#สำหรับผลสำรวจความเห็นต่อเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปีปี 2561 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,794 จุด ปัจจัยที่ถูกคาดว่าจะส่งผลในด้านบวก ได้แก่ ปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศ ที่รวมแนวโน้มการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจภายในประเทศรวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เป็น 2 ปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสารวจเทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ขณะที่ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย ได้รับการโหวตมาเพียง 28.57% ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ตอบแบบสารวจ
+ คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการทางหลวง สัมปทานสายนครปฐม - ชะอำ (M8) ของกรมทางหลวง
# คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบในหลักการของโครงการทางหลวงสัมปทานสายนครปฐม - ชะอำ (M8) ของกรมทางหลวง ภายใต้มาตรการ PPP Fast Track มูลค่าเงินลงทุนรวม 79,006 ล้านบาท ในรูปแบบ PPP Net Cost (Aspen)
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับหลักทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่จะมีงานก่อสร้างขนาดใหญ่ออกมาในช่วง 4Q61 เช่น สายสีส้ม สายสีม่วง รถไฟด่วนเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟทางคู่ และอื่นๆ คงคำแนะนำ ซื้อ CK, STEC และ SEAFCO
+ เปิดขายกองทุน TFF ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค. นี้
# ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund หรือ TFFIF) ว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง มีนโยบายให้เปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุน TFF ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค. นี้ (Aspen)
• ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือน ก.ย.61 เพิ่มเล็กน้อย
# สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Invester Confidence Index) ประจำเดือน ก.ย.61 ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พ.ย.61) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) (Aspen)
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13646