- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 17 September 2014 18:17
- Hits: 1963
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อหุ้นพื้นฐานดีเพื่อลงทุน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
สรุปปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานลงจากแรงขายทำกำไร/ลดความเสี่ยงก่อนเฟดและกนง.ประชุม ปิดตลาดดัชนีลดลง 0.87% (-13.71 จุด) มาปิดที่ 1564.41 โดยพอร์ตบล.นำขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อ-ขายใกล้เคียงกัน ส่วนต่างชาติและรายย่อยซื้อสุทธิ ซึ่งการซื้อสุทธิต่อของนักลงทุนต่างชาติช่วยพยุงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง ขณะเดียวกันการปรับขึ้นแข็งแกร่งของดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนนี้ ช่วยทำให้ Sentiment การลงทุนดีขึ้น ทั้งนี้ทาง DBS Retail Research ยังคงมองว่าเฟดจะยังไม่ส่งสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนในระยะสั้น โดยน่าจะรอดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐหลังยุติโครงการ QE ในเดือนต.ค.นี้ไปอีก 1-2 ไตรมาสก่อน ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐก็ยังไม่กดดัน เห็นได้จากดัชนี PPI เดือนส.ค.ที่ออกมาน้อยกว่าคาด (ติดตาม CPI คืนวันนี้อีกที) ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่า การอ่อนตัวของราคาหุ้นพื้นฐานดี เป็นจังหวะในการซื้อลงทุน สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักการลงทุน Overweight คือ ธนาคารพาณิชย์ (หุ้นเด่น BBL, KBANK, KTB), อสังหาริมทรัพย์ (หุ้นเด่น AP, PS, QH, SPALI, CK, STEC, CPN), ท่องเที่ยว โรงแรม และอาหาร (หุ้นเด่น AOT, CENTEL, GFPT, MINT, TUF) รวมทั้งมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นกับกลุ่มอิเลคทรอนิกส์หลังคำสั่งซื้อยังคงแข็งแกร่งและบาทอ่อน (หุ้นเด่น KCE) และกลุ่มสื่อสารที่ได้รับประโยชน์จาก Smart Phone และทีวีดิจิตอล (หุ้นเด่น คือ ADVANC, INTUCH, SAMART, SIM)
สำหรับหลักทรัพย์พื้นฐานแนะนำในวันนี้เป็น SPALI
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมาก เหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1550, 1520 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1590-1600 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อ
พิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ GLOW, TWZ, TWP, WHA, OFM, CPF, LOXLEY, IRCP (สีน้ำเงิน คือ หุ้นที่เข้ามาใหม่ใน List) ส่วนหุ้นที่แนะนำและปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าหาจังหวะ Take Profit (สำหรับการลงทุนรอบสั้น) คือ MAJOR
Fundamental Pick
SPALI แนะนำซื้อ
ราคาปิด 24.6 บาท เป้าหมาย 33.7 บาท
* บริษัทกำลังจะเปิดขายโครงการเอลีท พญาไท (ห่างจาก BTS พญาไทประมาณ 600-700 เมตร และสถานีแอร์พอร์ต ลิงค์ประมาณ 400-500 เมตร) ในวันที่ 27-28 ก.ย.นี้ โดยคาดว่ายอดขาย Presales ในสัปดาห์แรกจะสูงกว่า 50% เนื่องจากโครงการอยู่ในทำเลกลางเมือง ราคาเริ่มต้นจาก 4.4 ล้านบาทต่อยูนิต (ราคาเฉลี่ยเริ่มที่ประมาณ 1 แสนบาท/ตรม.)
* ปรับนโยบายใน 2H57 เป็นเชิงรุกมากขึ้น โดยจะเปิดขายโครงการใหม่ 16 แห่ง (ใน 1H เปิด 11 แห่ง) ทำให้ยอดขาย Presales จะโตเพิ่มขึ้น HoH ในด้านการรับรู้รายได้และกำไรสุทธิ คาดว่าไตรมาส 3/57 จะเพิ่มขึ้น QoQ และไตรมาส 4 ปีนี้จะสูงขึ้นไปอีก สำหรับทั้งปี 57 คาดว่ากำไรสุทธิจะขยายตัวก้าวกระโดด 43% และเติบโตต่อ 17% ในปีหน้า ที่สำคัญคือ บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ในปีนี้ครบ 100% ของเป้าหมายและประมาณการของเราแล้ว ส่วนในปีหน้าก็เกินกว่า 50% ซึ่งทำให้ผลประกอบการมีความมั่นคงมาก
* P/E ต่ำ...ปันผลจูงใจ ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 57 ต่ำเพียง 10 เท่า และลดลงเป็น 8.7 เท่าในปี 58 คาด Dividend Yield ปี 57-58 เท่ากับ 4.4% และ 5.2% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 33.70 บาท อิงกับ P/E ปี 58 ที่ 12 เท่า
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
-/• จีน : เศรษฐกิจชะลอตัวลง CICC คาดว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม * ไชน่า อินเตอร์เนชันแนล แคปิตอล คอร์ปอเรชัน (CICC) คาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือปรับลดสัดส่วนการสำรองสภาพคล่อง (RRR) ในไตรมาส 4 ปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวลงอย่างมาก และ CICC คาดการณ์ GDP Growth ของจีนลดลงเป็น 7.3% ในไตรมาส 3/57 รวมทั้งประเมินว่า GDP ในไตรมาส 4/57 จะถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอลง
* ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนส.ค.ลดลงแตะ 51.1 จาก 51.7 ในเดือนก.ค.57 ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนส.ค.ขยายตัว 6.9%YoY ชะลอลงจากระดับ 9%YoY ในเดือนก.ค.
* การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนในเดือนส.ค.ร่วงลง 14%YoY แตะระดับ 7.2 พันล้านดอลลาร์ โดยเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องหลังจากที่หดตัวลง 17%YoY ในเดือนก.ค.
* ซิตี้แบงก์ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของจีนในปี 57 ลงเป็น 7.3% จากเดิมที่ 7.5% พร้อมกับคาดการณ์ว่าจีนอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 3 ครั้งหลังจากนี้ไปจนถึงกลางปี 58
• สหรัฐ : ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค.ทรงตัว ... เงินเฟ้อยังไม่เป็นแรงกดดัน * กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ทรงตัวในเดือนส.ค. ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% เนื่องจากราคาสินค้าหน้าโรงงานปรับตัวลดลงอย่างมาเพราะราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง ซึ่งดัชนีราคาผู้ผลิตที่ทรงตัวบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ สำหรับดัชนี PPI พื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหาร พลังงานและการบริการทางการค้า) เพิ่มขึ้น 0.2%
* ติดตามการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค.ในวันนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย หลังจากดัชนี CPI เดือนก.ค.ปรับตัวขึ้น 0.1% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นหลังคาดว่าเฟดจะยังไม่ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย * ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,131.97 จุด พุ่งขึ้น 100.83 จุด หรือ +0.59% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,552.76 จุด เพิ่มขึ้น 33.86 จุด หรือ +0.75% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,998.98 จุด เพิ่มขึ้น 14.85 จุด หรือ +0.75% ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระหว่างวัน ขานรับการแสดงความคิดเห็นของนายจอน ฮิลเซนรัธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ที่กล่าวว่าเฟดอาจจะยังไม่ส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ สอดคล้องกับความเห็นของเราซึ่งมองว่าเฟดน่าจะรอดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐหลังจบโครงการ QE ในเดือนต.ค.นี้ไปอีก 1-2 ไตรมาส ก่อนที่จะส่งสัญญาณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนปัจจัยอื่นที่จับตา คือ หุ้นใหม่ IPO อาลีบาบาที่จะเข้ามาซื้อขายในเร็วๆ นี้
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นเพราะมีข่าวว่ากลุ่มโอเปกจะลดปริมาณการผลิตน้ำมันในปี 58 * สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.96 ดอลลาร์ ปิดที่ 94.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.17 ดอลลาร์ ปิดที่ 99.05 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ ข่าวที่ว่ากลุ่มโอเปคอาจจะปรับลดโควต้าการผลิตน้ำมันดิบในปีหน้าลง 500,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด (การประชุมเมื่อเดือนมิ.ย.57 กลุ่มโอเปค มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันดิบเอาไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน) นอกจากนั้นมีรายงานว่าพนักงานของการปิโตรเลียมแห่งชาติไนจีเรียจะเริ่มผละงานประท้วง ซึ่งคาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตน้ำมันดิบภายในประเทศ
• สัญญาทองคำ COMEX : ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย * สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.6 ดอลลาร์ หรือ 0.13% ปิดที่ 1,236.7 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยปริมาณการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กค่อนข้างบางเบา เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาดูผลการประชุมระยะเวลา 2 วันของเฟดที่จะสิ้นสุดพฤหัสฯนี้
ปัจจัยในประเทศ
•/+ คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00%...กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยระดับกลาง-ต่ำ และแนวโน้มธุรกิจแกร่งใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้านี้ คือ ที่พักอาศัย และอุปโภค & บริโภค * คาดคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยจะประชุมวันนี้ (17 ก.ย.) ทาง DBS Retail Research คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วันไว้ที่ 2.00% ต่อไป ทั้งนี้เราเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันยังเอื้อต่อการฟื้นตัวและการเติบโตเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 57 และปี 58 ตามลำดับ นอกจากนั้นอัตราเงินเฟ้อยังไม่เป็นประเด็นที่น่า กังวล
* ดอกเบี้ยต่ำหนุน Domestic Demand อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับกลาง-ต่ำของไทยขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคพลิกฟื้นและอยู่ในเกณฑ์ดีนั้นเป็นบวกและเกื้อหนุนอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องในปีหน้า เช่น ที่พักอาศัย, อุปโภคบริโภค, ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงธุรกิจบัตรเครดิต & เช่าซื้อ และสินเชื่อรายย่อย แต่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยเฉพาะเช่าซื้อรถยนต์มือสอง เนื่องจากอุปทานในระบบยังสูงทำให้ราคารถยนต์มือสองยังต่ำมาก แต่ถือว่าธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
* เราชอบกลุ่มที่พักอาศัย & อุปโภคบริโภค เนื่องจากเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานในปัจจับ 4 และคาดว่าธุรกิจจะเติบโตได้ในอัตราที่สูงขึ้นในปี 58 โดยหุ้นเด่นในกลุ่มที่พักอาศัยเป็น AP, PS, QH, SPALI ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มอุปโภค & บริโภคเป็น CPALL, CENTEL, MINT
•/- JAS :ปรับสินทรัพย์ที่จะขายเข้า IFF แต่ก็ยังมีข้อสงสัย & จำกัดหลายเรื่อง รวมทั้งต้นทุนในการออก IFF อาจจะสูงมาก * JAS ปรับรายการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) โดยเหลือเฉพาะโครงข่ายใยแก้วนำแสง ส่วน Access Node และเคเบิลที่เชื่อมโยงลูกค้า ADSL ไม่ขายเข้ากองทุนฯ รวมทั้งยกเลิกจำนำหุ้น TTTBB และ TTTI อย่างไรก็ตาม มูลค่ากองทุนฯยังคงอยู่ที่ 5-7 หมื่นล้านบาท โดยทาง JAS จะนำเรื่องนี้เสนอในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 27 ต.ค.57
* ประเด็นที่ตลาดตั้งคำถาม คือ มูลค่าของกองทุนที่ยังคงสูงใกล้กับขนาดกองทุนก่อนหน้าที่ 6-7 หมื่นล้านบาทหลังจากไม่มีการขาย Access Node และเคเบิลเชื่อมโยงลูกค้า ADSL เข้ากองทุน เพราะสินทรัพย์ที่ตัดออกนี้น่าจะมีมูลค่ามากกว่านี้ และโครงข่ายใยแก้วนำแสงที่จะขายเข้ากองทุนก็เป็นสินทรัพย์ของ TTTBB ซึ่งยังคงมีปัญหาด้านคดีความว่าผู้ถือหุ้น TT&T ฟ้องร้องให้มอบหุ้น TTTBB ให้ตามที่เคยได้บันทึกในสัญญาก่อนปรับโครงสร้างกิจการ ที่อาจทำให้ก.ล.ต.ไม่อนุมัติการจัดตั้งกองทุน นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องต้นทุนในการจัดตั้งกองทุนว่าอาจจะสูงกว่ากองทุนอื่นที่เคยออกไปแล้ว เพราะสินทรัพย์ที่ขายเข้ากองทุนมีความเสี่ยงสูง
+ BBL : รุกธุรกิจอิเลคทรอนิกส์แบงค์กิ้ง และเร่งขยายรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย...แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 255 บาท * BBL เข้าไปถือหุ้นใน Thai Payment Network ประกอบธุรกิจชำระเงินทางอิเลคทรอนิกส์ 49.99% โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 90 ล้านบาท เพื่อรุกธุรกิจจชำระเงินด้านอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบันและจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
* ความเห็น DBS Retail Research : เรามองว่า BBL ยังมีโอกาสที่จะขยายธุรกิจที่เป็น Non-counter services และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยได้อีกมาก โดยใช้ฐานลูกค้าและเครือข่ายที่ธนาคารมีเป็นจำนวนมากทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเป็นตัวสนับสนุน ในด้านรายได้ดอกเบี้ย คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นใน 2H57 และปี 58 โดยในส่วนของสินเชื่อ Corporate จะมีการเบิกจ่ายสินเชื่อมากขึ้นหลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย และภาคธุรกิจเดินหน้าลงทุนในโครงการเดิมต่อหลังชะลอไปในช่วงไตรมาส 4/56 ถึงกลางปี 57 ประกอบกับธุรกิจ SME ที่เป็น Supply chain ของการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มคึกคักขึ้น DBS คาดการณ์ EPS Growth ปี 57 ของ BBL ไว้ที่ 11% (สัดส่วนกำไร 1H57 : 2H57 เป็น 45% : 55%) และเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเป็น 15% ในปี 58
* แนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 255 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 58 ที่ 1.4 เท่า ปัจจัยหนุนหลัก คือ ความต้องการใช้สินเชื่อและบริการการเงินที่เพิ่มขึ้นหลังการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐฟื้นตัว ทั้งนี้ธนาคารมีจุดแข็งที่ฐานลูกค้า Corporate ที่แข็งแกร่งมาก รวมทั้งมีเครือข่ายสาขาในประเทศอย่างกว้างขวาง ด้าน Valuation ก็จูงใจ โดยซื้อขายที่ P/BV ปี 57-58 ต่ำเพียง 1.3 และ 1.1 เท่า ตามลำดับ ส่วน P/E เท่ากับ 10.3 และ 8.9 เท่า คิดเป็น PEG ที่ 1.0 และ 0.6 เท่า ตามลำดับ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค [email protected]