- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 07 September 2018 21:55
- Hits: 2568
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้
เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง
Smart Pick
เก็งกำไร KTC
ราคาปิด 30.25 บาท
ราคาเหมาะสม 41.00 บาท
เรามองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic Play แกร่งกว่ากลุ่ม Global Play ที่มีแรงกดดันจาก (1) ค่าเงินตลาด EM อ่อนค่า (2) ประเด็นสงครามการค้า
ขณะที่แนวโน้มกำไรใน 3Q61 คาดมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่อีก หนุนโดยการเติบโตของสินเชื่อ รวมทั้งการบันทึกหนี้สูญรับคืนจากการฟื้นตัวของภาคบริโภคในประเทศ ผลักดันกำไรปี 2561 เติบโต +58% YoY เป็น 5.2 พันล้านบาท และ +15% YoY เป็น 6.0 พันล้านบาทในปี 2562
สะสม AMATA
ราคาปิด 20.30 บาท
ราคาเหมาะสม 25.00 บาท
หุ้นกลุ่มนิคมอุตฯ มี Sentiment บวก หลังทรัมป์เล็งเก็บภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นประเทศถัดไป หากเกิดขึ้นจริง เราคาดไทยจะได้ประโยชน์ในระยะกลาง-ยาวจากการย้ายฐานการผลิต
อีกทั้งเรามองว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะเอื้อต่อยอดขายที่ดินตั้งแต่ 2H61 เป็นต้นไป และความคืบหน้าของ Roadmap เลือกตั้ง ราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ PER2562 เพียง 12.2 เท่า
เก็งกำไร EPG
ราคาปิด 9.05 บาท
ราคาเหมาะสม 9.60 บาท
ราคาน้ำดิบที่อ่อนตัวลงเป็น Sentiment บวกต่อ EPG เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทเชื่อมโยงกับราคาน้ำมันดิบ เช่น เม็ดพลาสติก PET และ HPPE
แนวโน้มกำไร 2Q61/62 เราคาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ และเร่งตัวขึ้น YoY ใน 3Q61/62 จากการฟื้นตัวของยอดขายธุรกิจ Aeroflex และ Aeroklas เป็นปัจจัยบวกที่รออยู่
เก็งกำไร PTTGC
ราคาปิด 78.50 บาท
แนวต้านทางเทคนิค 80.00 บาท
วานนี้ราคาหุ้นฟื้นตัวในรูปแบบ Hammer เราคาดมีแรงส่งทางเทคนิคขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 80.00 บาท แนวรับ 77.25 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 76.75 บาท
ราคาหุ้นลดลง -5.7% ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา ณ ปัจจุบัน ซื้อขายที่ PBV2561 ระดับ 1.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 6% ต่อปี
Profit-Taking : N.A.
กลยุทธ์วันนี้
เราคงมุมมองเป็น "กลาง" ต่อทิศทางการลงทุนในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน ขณะที่ช่วงสุดสัปดาห์นี้มีหลากหลายปัจจัยในต่างประเทศที่ต้องติดตาม (1) ข้อสรุปการเจรจา NAFTA ระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดา (2) การตัดสินใจของทรัมป์ต่อการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก US$2.0 แสนล้าน หลังสิ้นสุดการทำประชาพิจารณ์ในวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา (3) ตัวเลขการส่งออก-นำเข้าเดือนก.ค.ของจีน Bloomberg Consensus คาดการส่งออกเดือนก.ค.เติบโต 10%YoY ซึ่งมีความเป็นไปได้หลังสหรัฐฯ รายการการนำเข้าจากจีนเดือนก.ค.ขยายตัวต่อเนื่อง และ (4) โอกาสที่ทรัมป์ต่อการพิจารณาจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นในลำดับถัดไป ทำให้ SET INDEX วันนี้ไม่น่าผ่าน 1,700 จุดได้ รวมถึงมูลค่าการซื้อขายที่อาจกลับมาต่ำกว่า 5.0 หมื่นล้านบาท/วันอีกครั้ง
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดลบ 1.4% อีกทั้งกองทุนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยพร้อมกันเป็นวันที่ 3 จำกัดการฟื้นตัวของ SET INDEX ในช่วงสั้นนี้
ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำให้นักลงทุน "เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง (Mid Cap)" ที่มีประเด็นบวกเฉพาะกลุ่ม/รายตัว และ "ชะลอการเทรดรอบสั้นในหุ้นขนาดใหญ่" ยกเว้นนักลงทุนระยะกลาง 3-6 เดือนสามารถทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่ โดยมุ่งเน้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลัก เช่นกลุ่มธนาคาร / กลุ่มอสังหาฯ / กลุ่มค้าปลีก / กลุ่มโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่มส่งออกอาหารที่ได้อานิสงค์ทั้งผลฤดูกาลและค่าเงินบาทอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเช้านี้กับหุ้น CPF เราประเมินภาวะโรคระบาดในสุกรในประเทศจีนเป็นบวกต่อ CPF มากกว่าลบ ขณะเดียวกัน ความผันผวนของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่อย่างลีร่าของตุรกี และรูปีของอินเดีย กระทบต่อรายได้ของ CPF จำกัด คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 28.60 บาท
HOT Topic
Hot Topic วันนี้
1. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเช้านี้สั่นสะเทือน หลังทรัมป์ให้ความเห็นว่าอาจเรียกเก็บภาษีจากญี่ปุ่นเป็นประเทศถัดไป…หุ้นไทยกลุ่มใดได้ประโยชน์?
2. การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและแคนาคายังไม่ได้ข้อสรุป
3. ทิศทางตลาดจะเป็นอย่างไร จะผ่าน 1700 จุดได้หรือไม่?
4. สัปดาห์หน้าติดตามการประชุม ECB และ BOE
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้ผันผวน โดยทำจุดต่ำสุดระหว่างวันที่ 1676.67 จุด ก่อนรีบาวน์ช่วงท้ายของชั่วโมงการซื้อขายกลับมาปิดที่ 1693.94 จุด บวก 7.57 จุด หรือ +0.45% กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเด่นนำตลาด ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (+1.6%) โดยเฉพาะ CPALL ฟื้นตัวบวก 2.7% และกลุ่มธนาคาร (+1.3%) นำโดย SCB ปรับตัวขึ้นเด่น 2.1% ในทางกลับกัน กลุ่มสื่อสาร ปรับตัวลงราว 1.7% กดดันจาก TRUE ที่ปรับฐานแรง 8.6% หลังแจ้งข่าว ตลท. กรณีอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดต่อกรณีพิพาทระหว่าง TRUE และ TOT ด้านมูลค่าการซื้อขาย ลดลงจาก 6 หมื่นล้านบาท เหลือ 5.5 หมื่นล้านบาท โดยมีรายการ Big lot หุ้น CPALL-F มูลค่า 845 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 66 บาท/หุ้น
กลุ่มสถาบันในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ยังคงขายสุทธิพร้อมกันเป็นวันที่ 3 อีก 1.4 พันล้านบาท และ 2.6 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้กลุ่มสถาบันในประเทศ ขายสุทธิเป็นวันที่ 3 ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 10 วันติดต่อกัน รวม 1.4 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ขายสุทธิในตลาดหุ้นแล้ว ต่างชาติ ยังมีสถานะ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 อีก 1.8 พันสัญญา และขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 1.9 พันล้านบาท พลิกจากการซื้อสุทธิ 982 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯส่งสัญญาณเตรียมออกมาตรการลดการขาดดุลทางการค้ากับญี่ปุ่น
จีนประกาศเตรียมออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ หากสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่าสินค้ารวม US$2 แสนล้าน
ผู้นำเกาหลีเหนือประกาศจะปลดอาวุธนิวเคีลยร์ให้เสร็จสิ้นภายใน 4 ปี
EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลง 4.3 ล้านบาร์เรล ดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดลงเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต๊อกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 8.1 แสนบาร์เรล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเผย เตรียมเริ่มทดลองใช้ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการภาครัฐฯ ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรในร้านธงฟ้า เดือน ต.ค.-ธ.ค.2561
ติดตามการรายงานภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯเดือน ส.ค. และ GDP อียู 2Q61 ตลาดคาดขยายตัว 2.2%YoY วันนี้
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
ติดตามการรายงาน GDP 2Q61 ของญี่ปุ่น และเงินเฟ้อจีนเดือน ส.ค. วันที่ 10 ก.ย.
ติดตามการประชุม กสทช. เพื่อพิจารณามาตรการเยียวยาของ DTAC วันที่ 12 ก.ย.
ติดตามการรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Beige Book), การประชุมของธนาคารอังกฤษ (BOE), การประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการรายงานเงินเฟ้อ CPI เดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ วันที่ 13 ก.ย.
Strategist Team
Mayuree Chowvikran Head of Research , 662-009-8050
Padon Vannarat Strategist , 662-009-8060
Piyapat Patarapuvadol Strategist , 662-009-8062
Nutt Treepoonsuk Strategist , 662-009-8059
OO13503