- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 31 August 2018 22:12
- Hits: 8065
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“กังวล...เก็บภาษีจีนเพิ่ม-วิกฤตตุรกี อาร์เจนตินา”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PF (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับตัวลง 1.83 จุด ที่ระดับ 1720.43 จุด มีแรงขายเข้ามาในช่วงท้ายตลาด จากยอดสูงสุด-ต่ำสุดของวันที่ 1720.41-1730.65 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์เดียวกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 42 พันล้านบาท ตลาดรอปัจจัยใหม่ๆ ท่ามกลางปัจจัยต่างประเทศที่ผันผวนเปลี่ยนเป็นรายวัน ปัจจัยลบคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี กลับมาเพิ่มขึ้น กังวลเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนงานไทยแลนด์โฟกัสใกล้งวดจะปิดฉากแล้ว กลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลงคือ พลังงานธนาคารและสื่อสาร ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 3.1 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 0.3 พันล้านบาท สำหรับผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.9 พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไป 0.5 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีปัจจัยลบต่างประเทศคือ สหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ และวิกฤตเศรษฐกิจตุรกีและอาร์เจนตินา ดาวโจนส์ปรับลง ดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อน ดัชนีความกลัว (VIX) เพิ่ม ตัวเลข PCE และขอรับสวัสดิการครั้งแรกแข็งแกร่ง อาจมีเงินไหลออก ส่วนงานไทยแลนด์โฟกัส เข้าสู่วันสุดท้ายติดตามธปท.เผยเศรษฐกิจรายเดือนวันนี้ ด้านแรงค้ำจุนคือ มองเจรจาการค้าสหรัฐ-แคนาดาออกมาดี โดยมีเส้นตายวันนี้ สถาบันซื้อสุทธิต่อเนื่อง จะมีการปลดล็อคบทบาทพรรคการเมืองไทย ใช้มาตรา 44 ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับลงถ้วนหน้า ดาวโจนส์ล่วงหน้า -11 จุด (8.25 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมาปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สงครามการค้า จีน-สหรัฐ ที่ยังไม่คืบหน้า เพราะทรัมป์อาจยังต้องการป้องกันการขาดดุลการค้าต่อไป รวมทั้งทรัมป์จะถูกพาดพิงด้านการเมืองหรือไม่ หลังคนใกล้ชิดมีความผิด การที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ปัญหาตุรกี-อาร์เจนฯ ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่ก็มีข้อดีคือ อาจส่งออกได้มากขึ้นด้วย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1725-1740 จุด
Update หุ้นเด่น : MINT – คาดว่า MINT จะมีกำไรงวด 3Q61 ที่น่าตื่นเต้น เพราะโรงแรมที่ยุโรปเข้าสู่ไฮ ซีซั่น ขณะที่โรงแรมที่โปรตุเกสและบราซิล คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) จะเป็นตัวเลขสองหลักทีเดียว ขณะที่ไทยยังเป็นฤดูกาลที่อ่อน จึงมีแนวโน้มจะฟื้นตัวเร็วกว่าหลักทรัพย์โรงแรมอื่นๆ เราคาดว่า NH Hotel ที่บริษัทซื้อเข้ามาจะมีแนวโน้มที่สดใส เพราะได้มีการปรับปรุงตกแต่ง (renovate) เรียบร้อยแล้ว ยังผลให้สามารถปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักได้ คงคำแนะนำ ซื้อ เราคาดว่าการได้ NH Hotel รวมเข้ามา หลังทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ จะทำให้มีส่วนเพิ่ม (upside potential) มากขึ้น กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 46.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ THANI, SPALI, MINT, IVL, WORK, AUCT หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SCCC,BTS,PYLON,PTTGC,JKN,WHAUP หุ้นที่หลุด List SEAFCO หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ BCPG, UNIQ, CKP
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง วิตกทรัมป์เก็บภาษีจีนเพิ่ม
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,986.92 จุด ลดลง 137.65 จุด หรือ -0.53% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,088.36 จุด ลดลง 21.32 จุด หรือ -0.26% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,901.13 จุด ลดลง 12.91 จุด หรือ -0.44%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากสื่อรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเดินหน้าตามแผนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์หน้านี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาและตุรกี พร้อมกับจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น สต็อกสหรัฐลดลงกว่าคาด อิหร่าน-เวเนฯส่งออกลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 70.25 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.ปีนี้ +.74 70.25
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 77.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐปรับตัวลดลงมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า การส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลาปรับตัวลดลง
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 6.5 ดอลลาร์ หรือ 0.54% ปิดที่ 1,205.00 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาด นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยลบจากการพุ่งขึ้นของดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญโดยข้อมูลดังกล่าวเป็นปัจจัยล่าสุดที่สนับสนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
-สหรัฐมีแนวโน้มจัดเก็บภาษีนำเข้าจีนเพิ่ม ที่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
# สื่อต่างประเทศหลายแห่งซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการเดินหน้าตามแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทันทีที่มาตรการดังกล่าวได้ข้อสรุปจากการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐในสัปดาห์หน้า
# หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งจากสินค้าที่นำเข้าจากจีนทั้งหมดในแต่ละปี
-แรงกดดันวิกฤตเศรษฐกิจจากตุรกีและอาร์เจนตินา
# ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาและตุรกี โดยสกุลเงินลีราของตุรกีร่วงลงเป็นวันที่ 4 เมื่อวานนี้ จากการที่นักลงทุนเดินหน้าเทขายสกุลเงินลีราเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นต่อค่าเงินของตุรกี หลังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของธนาคารกลางตุรกีเตรียมลาออกจากตำแหน่ง
# ส่วนสถานการณ์ในอาร์เจนตินาซึ่งเป็นประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในละตินอเมริกา นักลงทุนกังวลว่ารัฐบาลอาร์เจนตินาอาจผิดนัดชำระหนี้จำนวนมาก ขณะที่ประธานาธิบดีเมาริซิโอ มาครี ของอาร์เจนตินา ได้เรียกร้องให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เร่งการเบิกจ่ายเงินกู้วงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่มีการอนุมัติก่อนหน้านี้ เพื่อรับมือกับวิกฤติการเงินในประเทศ โดยรัฐบาลอาร์เจนตินาได้บรรลุข้อตกลงเงินกู้กับ IMF ในช่วงต้นปีนี้ หลังจากที่ค่าเงินเปโซทรุดตัวลงอย่างหนัก
-ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) และการยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ออกมาแข็งแกร่ง
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 2.0% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด หลังจากอยู่ที่ระดับ 1.9% ติดต่อกัน 3 เดือน
# ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 214,000 ราย ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
+/• การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา คาดว่าจะออกมาดี
# นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา โดยปธน.ทรัมป์ได้แสดงความหวังว่า แคนาดาจะบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับใหม่ภายในวันนี้ ขณะที่นางคริสเทีย ฟรีแลนด์ รมว.ต่างประเทศแคนาดากล่าวว่า การเจรจาข้อตกลง NAFTA กับสหรัฐ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ และแคนาดาหวังที่จะเห็นการประนีประนอมเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับชัยชนะ
• ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะเปิดเผยต่อไป
# มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐประจำเดือนส.ค. โดยข้อมูลดังกล่าวจะมีการเปิดเผยในวันนี้ 21.00 น.ตามเวลาไทย
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
-ผู้ว่าแบงค์ชาติ คาดเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรระยะสั้น ทำบาทแข็งเร็ว
# นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่าเงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคซึ่งเป็นผลจากเงินไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรระยะสั้น พร้อมมองว่าแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะไม่รุนแรง โดยเชื่อว่าจะเป็นการปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
+ สศค.คาดเศรษฐกิจ ก.ค. ขยายตัวจากอุปสงค์ในประเทศ
# สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม ปี 2561 ขยายตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศ โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ขยายตัวในระดับสูง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 69.1 สูงสุดในรอบ 42 เดือน สำหรับอุปสงค์จากต่างประเทศ สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้ายังคงขยายตัวต่อเนื่อง ด้านอุปทานได้รับแรงสนับสนุนจากภาคเกษตร
+ สนช.เห็นชอบผ่านร่าง พรบ.งบประมาณปี 62
# ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ด้วยคะแนน 206 เสียง งดออกเสียง 2 ผ่านความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
+/• งาน "Thailand Focus 2018 : The Future is Now" มาถึงวันสุดท้ายแล้ว
# ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดงาน "Thailand Focus 2018 : The Future is Now" ในวันที่ 29-31 ส.ค.นี้ ชูความโดดเด่นและความน่าสนใจ ศักยภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปัจจุบัน และการเติบโตในอนาคต พร้อมเชิญภาครัฐร่วมให้ข้อมูลแผนยุทธศาสตร์ชาติและความคืบหน้าของการปฏิรูปประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยมีผู้บริหารระดับสูงของ บจ. 115 ราย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13.65 ล้านล้านบาท คิดเป็น 78% ของมูลค่ารวมของตลาด (ณ วันที่ 20 ส.ค. 2561) ร่วมให้ข้อมูล โอกาสการลงทุนและการเติบโตของธุรกิจไทยแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกที่ตอบรับเข้าร่วมกว่า 150 ราย
# ทั้งนี้จะมีการนำเสนอข้อมูลชูจุดเด่นของประเทศไทยในด้าน Well-being economy อาทิ ด้านการท่องเที่ยว โรงแรม ด้านอาหาร รวมถึงยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 และข้อมูลกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund ที่จะระดมทุนในไตรมาส 3-4 ปีนี้
+ กำลังพิจารณาใช้มาตรา 44 คลายล็อคพรรคการเมือง
# ที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้หารือถึงการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยคาดว่าจะออกเป็นคำสั่ง คสช.ตามมาตรา 44
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13219