- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 29 August 2018 21:34
- Hits: 5750
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“อาจ Sell on Fact ไทยแลนด์โฟกัส ต่างประเทศหมองลง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับตัวขึ้นเพียง 0.91 จุด ที่ระดับ 1718.15 จุด มีแรงขายทำกำไร จากยอดสุงสุดของวันคือ 1728.22 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์อ่อนกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายสูงขึ้นที่ 50.6 พันล้านบาท ผลบวกปัจจัยต่างประเทศ สหรัฐ-เม็กซิโกบรรลุข้อตกลงการค้า ปูทางสู่การปรับปรุง NAFTA ดาวโจนส์ปรับขึ้นดอลาร์อ่อนค่า บาทแข็งค่า ผลประชุมประจำปีเฟดขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งจะมีการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ปลายสัปดาห์นี้ จะช่วยให้เม็ดเงินต่างชาติเข้ามาตลาดหุ้นไทยให้คึกคักขึ้นได้ หลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นดีคือ BANPU,HMPRO และ GLOBAL ด้านผู้ซื้อสุทธิรายเดียวคือ สถาบัน 2.7 พันล้านบาท และผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.5 พันล้านบาท ต่างประเทศ 1.0 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 0.2 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ปัจจัยต่างประเทศ ไม่ถึงกับสดใสนัก หลังจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ดาวโจนส์ปรับขึ้นเล็กน้อย ดอลลาร์กลับมาแข็ง บาททยอยอ่อนค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี กลับมาเพิ่มขึ้น กังวลเงินไหลออก และน้ำมันปรับลง รวมทั้งจะมีการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส เริ่มวันนี้ แต่ตลาดฯปรับขึ้นตอบรับไปบางส่วนแล้ว อาจมีการขายเมื่อเป็นข่าวจริง ด้านแรงค้ำจุนคือ สถาบันซื้อสุทธิต่อเนื่อง จะมีการปลดล็อคบทบาทพรรคการเมืองไทย ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับขึ้นแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +40 จุด (8.24 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สงครามการค้า จีน-สหรัฐ ที่ยังไม่คืบหน้า เพราะทรัมป์อาจยังต้องการป้องกันการขาดดุลการค้าต่อไป รวมทั้งทรัมป์จะถูกพาดพิงด้านการเมืองหรือไม่ หลังคนใกล้ชิดมีความผิด การที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่ก็อาจส่งออกได้มากขึ้นด้วย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1725-1740 จุด
Update หุ้นเด่น : HMPRO – กำไรสุทธิ 2Q61 เป็น 1.3 พันล้านบาท +16% y-o-y เพราะ 1) รายได้เพิ่ม 4.3% เพราะอัตราเติบโตสาขาเดิม (SSSG) เพิ่ม 3% และการขยายสาขา 2) อัตรากำไรขั้นต้นทำได้ดีขึ้นเพิ่ม 1% เป็น 27% เพราะ product mix ที่ดีขึ้น และ 3) ดอกเบี้ยจ่ายลดลง มีแผนที่จะเพิ่มสาขาในรูปแบบ HomePro S ถึง 4 แห่ง ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ (2H61) และยังใช้กลยุทธ์การเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มการจำหน่ายสินค้าในแบรนด์ตนเอง (Private label) มากขึ้น เราคาดว่ากำไรในรอบ 2H61 ยังเติบโตดีเป็นเลข 2 หลัก คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 17.50 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SEAFCO,PYLON,ERW,PLANB หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SCCC,AMATA,BTS,RS หุ้นที่หลุด List SENA,HUMAN หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ HMPRO,TASCO,UV,BDMS,GLOBAL,ROBINS,WHA
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์บวกเล็กน้อย รับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 18 ปี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,064.02 จุด เพิ่มขึ้น 14.38 จุด หรือ +0.06% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,030.04 จุด เพิ่มขึ้น 12.14 จุด หรือ +0.15% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,897.52 จุด เพิ่มขึ้น 0.78 จุด หรือ +0.03%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) ขานรับผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา ท่ามกลางความหวังที่ว่า รัฐบาลแคนาดาจะลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับใหม่ภายในสัปดาห์นี้
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลงเล็กน้อย รอตัวเลขสต็อกจาก EIA
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 68.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 26 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 75.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญานํ้ามันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ในวันนี้
• ทองคำ : ปรับลง เพราะกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็ง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.6 ดอลลาร์ หรือ 0.13% ปิดที่ 1,214.4 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ จะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป
+/• จับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา
# นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา โดยนางคริสเทีย ฟรีแลนด์ รมว.ต่างประเทศแคนาดา กำลังเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่สหรัฐที่กรุงวอชิงตัน หลังจากที่สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับเม็กซิโกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่นางแมรีสก็อต กรีนวู้ด ประธานสภาธุรกิจแคนาดา-อเมริกัน ได้แสดงความหวังว่า แคนาดาจะสามารถได้ข้อสรุปในข้อตกลง NAFTA ฉบับใหม่ในสัปดาห์นี้
-/+ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 18 ปี แต่ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศอ่อนลงบ้าง
# ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 133.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2543 จากระดับ 127.4 ในเดือนก.ค. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นจะลดลงสู่ระดับ 126.7 นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคที่มีมุมมองดีขึ้นต่อสภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 24.3% จากระดับ 22.9% ในเดือนก.ค.
# เอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.2% ในเดือนมิ.ย. แต่ชะลอตัวลงจากระดับ 6.4% ของเดือนพ.ค. ขณะที่ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.3% ในเดือนมิ.ย. ลดลงจากระดับ 6.5% ของเดือนพ.ค.
- ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่ง
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) หลังจากผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปีในเดือนส.ค. ซึ่งช่วยหนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
+ ประชุมเฟดประจำปี ที่แจคสันโฮล ประธานเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจ ปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
# การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค. โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน" นายพาวเวลระบุในการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟด ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง เมื่อวันศุกร์ว่า เขาคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เฟดมองหาจุดสมดุลในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไป
# นายพาวเวลยังได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และคาดว่าเฟดจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อ โดยเขาระบุว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของเฟด ขณะที่การจ้างงานอยู่ในระดับสูง
• ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะเปิดเผยต่อไป
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561 (ประมาณการครั้งที่ 2), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ค.,จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ค., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ วันนี้เริ่มงาน "Thailand Focus 2018 : The Future is Now" ช่วยดึงเม็ดเงินต่างชาติ
# ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดงาน "Thailand Focus 2018 : The Future is Now" ในวันที่ 29-31 ส.ค.นี้ชูความโดดเด่นและความน่าสนใจ ศักยภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปัจจุบัน และการเติบโตในอนาคต พร้อมเชิญภาครัฐร่วมให้ข้อมูลแผนยุทธศาสตร์ชาติและความคืบหน้าของการปฏิรูปประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยมีผู้บริหารระดับสูงของ บจ. 115 ราย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13.65 ล้านล้านบาท คิดเป็น 78% ของมูลค่ารวมของตลาด (ณ วันที่ 20 ส.ค. 2561) ร่วมให้ข้อมูล โอกาสการลงทุนและการเติบโตของธุรกิจไทยแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกที่ตอบรับเข้าร่วมกว่า 150 ราย
# ทั้งนี้จะมีการนำเสนอข้อมูลชูจุดเด่นของประเทศไทยในด้าน Well-being economy อาทิ ด้านการท่องเที่ยว โรงแรม ด้านอาหาร รวมถึงยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 และข้อมูลกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund ที่จะระดมทุนในไตรมาส 3-4 ปีนี้
+ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือน ก.ค.61 อยู่ที่ 112.60 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.64% y-o-y
# สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือน ก.ค.61 อยู่ที่ 112.60 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.64% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 เนื่องจากการส่งออกของไทยในเดือน ก.ค.61 มีมูลค่า 20,424 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.3% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 โดยการส่งออกไปยังตลาดสำคัญขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอินเดีย และอาเซียน ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี 61 MPI ขยายตัว 4.0%
+ กำลังพิจารณาใช้มาตรา 44 คลายล็อคพรรคการเมือง
# ที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้หารือถึงการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยคาดว่าจะออกเป็นคำสั่ง คสช.ตามมาตรา 44
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13103