- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 29 August 2018 21:32
- Hits: 5552
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
เลือกหุ้นที่ได้ประโยขน์จากการลดต้นทุนการผลิต
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังผันผวนได้อีก หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐแข็งแกร่งมาก แต่ปัญหาที่อาจจะก่อตัวในภายหลังคือราคาสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ตกต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพด จนทำให้ตัวเลขขาดดุลการค้าในเดือน ก.ค.กว้างขึ้นอย่างมีนัยยะ คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการก่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงปีนี้ เป็นปีที่ราคาสินค้าเกษตรหลายประเภท ของหลายประเทศทั่วโลกตกต่ำอย่างมาก เนื่องจากสภาพภูมิอากาศดี ภัยธรรมชาติไม่รุนแรง ทำให้ผลผลิตดี และซัพพลายออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย เพราะทำให้อำนาจซื้อของประชาชนในต่างจังหวัดย่ำแย่ลง ที่เราเห็นผลชัดเจนจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการอย่าง CPALL MAKRO และอีกหลายกิจการ อย่างไรก็ตาม ในภาวะเช่นนี้ ผู้ประกอบการที่ใช้สินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบในการผลิต เช่น CPF,GFPT, TVO, TU, XO, TKN, STA เป็นต้น วันนี้มีการจัดงาน Thailand Focus 2018 คาดว่าภาครัฐจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสร้าง S Curve ใหม่ของภาคอุตสาหกรรมไทย เป็นปัจจัยบวกหนุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและนิคมอุตสาหกรรม หุ้นเด่น คือ STEC, CK, PYLON, AMATA, WHA ดัชนีวันนี้ ด่าน 1,729 จุดมีความสำคัญมาก เนื่องจากผ่านไม่ได้มาหลายครั้งแล้ว หากผ่านขึ้นไปได้คาดว่ามีแนวต้านถัดไปที่ 1,740 จุด เราจึงคาดกรอบดัชนีวันนี้ 1,708-1,729 จุด หุ้นแนะนำ MTC, EPG, STA, XO
Stock Comment
MTC Pick of the day
EPG (ปิด 8.80 บาท; ซื้อ; AWS TP 10.20 บาท) ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐฯ หนุนธุรกิจของ EPG ในขณะที่เราคาดหวังราคาเม็ดพลาสติกที่อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ Gross Profit Margin ดีขึ้น
STA (ปิด 12.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 15.50 บาท) ราคายางพาราที่ทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้การดำเนินธุรกิจแปรรูปยางมีความเสี่ยงลดลงอย่างมาก ดีมานด์ของยางแปรรูปยังโตต่อเนื่อง ในขณะที่ราคายางตกต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตถุงมือยางต่ำ STA มีมาร์จิ้นส่วนของถุงมือยางสูง STA ยังคงซื้อขายต่ำกว่า 1 เท่า Book Value
XO (ปิด 10.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 13.10 บาท) คาดหวังกำไรสุทธิในงวด 2H61 และปี 2562 ดีขึ้นอย่างมาก อานิสสงค์ราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ราคาน้ำตาล พริก กระเทียม ราคาตกต่ำ และบริษัทล็อคราคาวัตถุดิบได้นานข้ามปี
หุ้นเด่นวันนี้ : MTC (ราคาปิด 41.75 บาท; ซื้อ; AWS TP: 50.00 บาท)
เราคาดกำไรสุทธิ MTC จะเร่งตัวในช่วงครึ่งหลังของปี หนุนโดยช่วงไฮซีซั่นและการขยายสาขา โดยเราประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2561 ที่ 40% เทียบกับตัวเลขในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวไปแล้วกว่า 16.4% YTD นอกจากนี้ เราคาดจำนวนสาขาของบริษัทจะแตะระดับ 3,000 สาขาในสิ้นปีนี้ จากไตรมาส 2/61 ที่ 2,889 สาขา นอกเหนือจากนั้นแล้ว แม้รายละเอียด พ.ร.บ. นอนแบงก์จะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ MTC ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการล่วงหน้าแล้ว โดยเริ่มแบ่งสัญญาสินเชื่อบริษัทออกเป็น 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาสินเชื่อที่มีเพดานอัตราดอกเบี้ยที่ 15% และสัญญาสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่สามารถชาร์จดอกเบี้ยได้สูงถึง 36% ส่งผลให้ Yield โดยรวมของบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบและอยู่ในระดับเดิมที่ 23% การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ลดความกังวลนักลงทุน รวมถึงคงภาพการเติบโตบริษัทให้ดูมั่นคง เราประมาณการ EPS จะเติบโต 42.3% ในปี 2561 และ 32.3% ในปี 2562
Price Pattern ของ MTC ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิด Monthly Sell Signal แต่ Price Pattern ของ MTC ทั้งในระยะสั้นและระยะกลางกลับมาเกิดความแข็งแกร่งจากการที่ได้เกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal โดยหาก Price Pattern ของ MTC สามารถปิดตลาดรายเดือนในเดือนนี้ได้เหนือ 43.25 บาท ก็จะทำให้แนวโน้มหลักเปลี่ยนจากที่เคยเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) ไปสู่แนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ทันที เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ MTC พบว่าราคาได้ปรับตัวขึ้นมาทดสอบเป้าหมายหลักที่ 41.75 บาทพอดี ดังนั้นหาก Price Pattern ของ MTC สามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือเป้าหมายหลักที่ 41.75 บาทได้สำเร็จ นี่จะเป็นการบ่งบอกถึงการทำ New High ครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 44.75 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 48.25 บาท ทั้งนี้ MTC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 39.75 บาท (Resistance: 42.00, 42.25, 42.50; Support: 41.50, 41.25, 41.00)
ปัจจัยในประเทศ :
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ก.ค. (MPI) เพิ่มขึ้น 4.64% YoY อยู่ที่ 112.6 ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน หนุนโดยการผลิตที่เพิ่มขึ้นในรถยนต์และเครื่องยนต์ น้ำตาลทราย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์ยาง นอกจากนี้ การเติบโตดังกล่าวยังเป็นไปตามส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อินเดีย และอาเซียน (บางกอกโพสต์/อินโฟเควสท์)
MAKRO (ปิด 34.25 บาท; NR; IAA Consensus 39.00 บาท) เรามีมุมมองเป็นกลางจากการ Company Visit ในวันที่ 28 ส.ค. 61 ระยะสั้นบริษัทได้รับผลกระทบจากการเร่งขยายสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกัมพูชา และอินเดีย ประกอบกับมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ให้บันทึกค่าเช่าที่ดินระยะยาวแบบเฉลี่ยเท่ากันทุกปิ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A) จะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วง 2H61 อย่างไรก็ตามเรามีมุมมองเป็นบวกในระยะยาว เมื่อบริษัทสามารถเปิดสาขาในต่างประเทศเพิ่มจนเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) และถึงจุดคุ้มทุน โดยเราคาดคาดใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี ทั้งนี้บริษัทมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้ดี รวมทั้งโดดเด่นในด้านการร่วมมือกับ Suppliers ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
TSTH (ปิด 0.76 บาท; NR; IAA Consensus 1.10 บาท) เรามีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 28 ส.ค. 61 ความต้องการใช้เหล็กทรงยาว (Long products) ในประเทศ ช่วง ม.ค.-มิ.ย. 61 ชะลอตัวลง -5.3% YoY เหลือ 2.745 ล้านตัน แต่บริษัทยังคงเป้าหมายปริมาณขายปี 2561-2562 นี้ที่ 1.32-1.35 ล้านตัน เติบโต 8-10% โดยคาดว่าการเร่งผลักดันโครงการภาครัฐขนาดใหญ่จะช่วยให้การก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมการใช้เหล็กทรงยาวในประเทศในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 จะกลับมาเป็นบวก อย่างไรก็ตามบริษัทมีปัจจัยลบจากราคาเศษเหล็กที่เพิ่มขึ้นมากโดยในช่วง เม.ย. - มิ.ย. 61 ปรับขึ้นมาเป็น 13,000 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 5.4% ในขณะที่ราคาขายเหล็กเส้นทรงตัว
AMATA (ปิด 20.20 บาท; ซื้อ; AWS TP 26 บาท) บริษัทคาดว่าจะเข้าไปลงทุนในโครงการเมืองนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะใหม่ในเมียนมาและสปป.ลาว งบลงทุนประเทศละ 100 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า (โพสต์ทูเดย์) ความเห็น: การขยายการลงทุนไปยังประเทศเมียนมาและสปป.ลาว จะช่วยหนุนรายได้การขายที่ดินของ AMATA เพิ่มเติม นอกเหนือจากยอดขายที่ดินในประเทศไทยและเวียดนาม
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์ปิดบวก 14.38 จุด หรือ +0.06% ขณะที่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 12.14 จุด หรือ +0.15% และดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.78 จุด หรือ +0.03% ขานรับผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา ท่ามกลางความหวังที่ว่า รัฐบาลแคนาดาจะลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับใหม่ภายในสัปดาห์นี้
เศรษฐกิจสหรัฐฯ : การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างมากในเดือนกรกฎาคมเนื่องจากการส่งออกสินค้าเกษตรทรุดตัว แสดงให้เห็นว่าการค้าอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สาม กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าช่องว่างของการค้าสินค้าเพิ่มขึ้น 6.3% สู่ระดับ 72.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม การส่งออกสินค้าลดลง 1.7% สู่ระดับ 140.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงจากการส่งออกอาหาร อาหารสัตว์ และเครื่องดื่ม ที่ลดลง 6.7% (รอยเตอร์)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลบ 34 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 68.53 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 26 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 75.95 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนเทขายทำกำไรก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ในวันนี้
U.S. Dollar Index (DXYO) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 94.7 จุด แต่มีแนวโน้มจะหยุดลงและรีบาวด์ขึ้นแล้ว ยกเว้นตลาดตื่นตระหนกเกี่ยวกับตัวเลขขาดดุลการค้าสูงในเดือน ก.ค.
ราคายางพารา ราคาล่าสุด 1.59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ กก. อยู่ในโซนที่ต่ำมาก ตามราคาสินค้าเกษตรทั่วไปที่ราคาตกต่ำไม่เพียงแต่ราคาสินค้าเกษตรของไทย แต่ราคาสินค้าเกษตรในต่างประเทศ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพดของสหรัฐฯ กระเทียมของจีน ล้วนราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ผลบวกจะตกอยู่กับผู้ใช้วัตถุดิบเหล่านี้เป็นวัตถุดิบการผลิต เช่น XO, CPF, GFPT, TKN เป็นต้น
ราคาทองแดง : อยู่ในระดับต่ำเพียง 6,026 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เราคาดว่ามาจากสาเหตุของสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ที่ยังไม่คลี่คลาย ทำให้ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐฯ ชะลอตัว
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO13098