- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 August 2018 20:09
- Hits: 3347
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ยังติดตามเจรจาการค้าจีน-สหรัฐ & ประชุมเฟด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : RML (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ถูกขายทำกำไร ปรับลด 6.79 จุด ณ 1694.63 จุด ขณะที่ยอดต่ำสุดของวันคือ 1688.59 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายปานกลาง 50.7 พันล้านบาท แม้ได้รับแรงเกื้อหนุนจากเงินที่น่าจะไหลเข้า เพราะบาทแข็งค่าตามดอลลาร์ หลังทรัมป์ไปวิพากษ์เฟดควรใช้นโยบายผ่อนคลายมากขึ้น แต่แล้วกลับมีข่าวว่า ทรัมป์เห็นว่าไม่คาดหวังว่าการเจรจาการค้ากับจีนจะคืบหน้า และไม่มีกรอบเวลาที่จะยุติข้อพิพาทกับจีน หลักทรัพย์ที่ปรับตัวลงแรงคือ BEAUTY, BDMS แต่ GLAND ปรับขึ้น รับข่าว CPN จะทำเทนเดอร์ฯ แต่ก็ยังไม่ได้บทสรุป ตามที่ทั้งสองบริษัทแจ้งตลาดฯ ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 2.4 พันล้านบาท และสถาบัน 1.6 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 3.6 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 0.4 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสแกว่งแคบ เป็นลักษณะรอดู (wait & see) มากกว่า หลังทรัมป์ไปวิพากษ์เฟด ควรใช้นโยบายผ่อนคลายมากขึ้น ดอลลาร์อ่อนค่า จึงมีโอกาสที่เงินจะไหลเข้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปียังมีแนวโน้มลดลง แต่ต้องรอดูการประชุมเฟดต่อไป อีกทั้งรอผลจีนจะกลับมาเจรจาการค้ากับสหรัฐที่สำคัญคือ 22-23 ส.ค.61 ก่อนภาษีนำเข้าจะปรับขึ้นในวันที่ 23 ส.ค.61 น้ำมันยังปรับขึ้นดี แต่ต่างชาติขายสุทธิมากขึ้นเป็นลบ ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -101 จุด (8.27 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา เพราะทรัมป์อาจยังต้องการป้องกันการขาดดุลการค้าต่อไป ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่ก็อาจส่งออกได้มากขึ้นด้วย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1720 จุด
Update หุ้นเด่น : AOT – กำไรหลัก 3Q61 เติบโตแข็งแกรง่ 14% y-o-y สืบเนื่องจาก รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับน้อยลง สาเหตุที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นคือ ปรับปรุงงานดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรันเวย์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตามกำหนดการแล้วการประมูลบริหารพื้นที่สนามบินคาดว่าจะเป็น 4Q61 จะเป็นแรงกระตุ้นราคาหุ้นได้ แนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 75.00 บาท ประเมินด้วย DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 15%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TCAP, TASCO, SF, WICE หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ AEONTS, SCCC, GULF หุ้นที่หลุด List GLOBAL, KCE, BJC หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ LALIN, AP, STEC, GFPT, TFG, PLANB
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น คาดหวังจีน-สหรัฐจะเจรจาการค้า ออกมาดี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,822.29 จุด เพิ่มขึ้น 63.60 จุด หรือ +0.25% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,862.96 จุด เพิ่มขึ้น 5.91 จุด หรือ +0.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,859.17 จุด เพิ่มขึ้น 38.17 จุด หรือ +0.49%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองในด้านบวกเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนส.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในสัปดาห์นี้เช่นกัน
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น จับตาสต็อกน้ำมันดิบ
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 92 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 67.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 72.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) ซึ่งเป็นการปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกอาจประสบภาวะตึงตัว จากการที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้
• ทองคำ : ปรับขึ้น เพราะดอลลาร์อ่อนค่าลง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.45% ปิดที่ 1200.00 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
+ ดอลลาร์อ่อนค่า หลังทรัมป์วิพากษ์เฟดกรณีปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่หยุด
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมของเฟด และการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในสัปดาห์นี้
+/• จีนจะกลับมาเจรการค้ากับสหรัฐอีกคร้ง สิ่งที่ดีคือเป็น 22-23 ส.ค.61
# ทางการจีนยืนยันว่า คณะผู้แทนของจีนจะเดินทางไปยังสหรัฐภายในเดือนนี้ เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า การเจรจาดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 22-23 ส.ค.
# หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลยังระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของทั้งสหรัฐและจีนกำลังเร่งทำโร้ดแมพเพื่อผลักดันให้มีการบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งจะนำไปสู่การประชุมสุดยอดระหว่างปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง ในเดือนพ.ย.
+/• จับตาการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
# นักลงทุนยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ระหว่างสหรัฐและเม็กซิโกในสัปดาห์นี้ โดยนายอิลเดฟอนโซ กูจาร์โด รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเม็กซิโกจะพบปะหารือกับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า
+/- ติดตามประชุมเฟด ที่แจคสันโฮล บ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงิน และวันพรุ่งนี้มีแถลงรายงานประชุม
# นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน"
# นักลงทุนจับตาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ก.ค.-1 ส.ค. ในวันพุธนี้
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนมิ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค. และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ ก.การคลังเผยการจัดเก็บรายได้สุทธิรอบ 10 เดือนแรกสูงกว่าประมาณการ
# กระทรวงการคลัง เผยช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ต.ค.60-ก.ค.61) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,027,375 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 67,253 ล้านบาท หรือ 3.4% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 6.3% เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 25,241 และ 25,220 ล้านบาท หรือ 17.5% และ 20.8% ตามลำดับ โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีรถยนต์ และภาษียาสูบ
+ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจา FTA เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก
# อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจา FTA 17 ประเทศ จาก 12 ความตกลง ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 148,202.24 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.24% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า
+ บริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยเตรียมขึ้นค่าแรงให้ในปีนี้ ตามเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว
# ผลสำรวจโดยหอการค้าญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯ ระบุว่า บริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทยหลายแห่งเตรียมที่จะขึ้นค่าแรงในปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
+ ดัชนี REITs และ IFFs ขึ้นแรง
# ล่าสุดวานนี้อยู่ที่ระดับ 206.34 จุด ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว YTD ถึง 9% ส่วนหนึ่งมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับลงต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะมีแรงขายในเวลาถัดมา แนะนำว่าช่วงนี้ควรถือ ในลักษณะ Let Profit Run ไปก่อน แต่ติดตามการขึ้นเครื่องหมาย XD ในแต่ละหลักทรัพย์
-/+ ค่าเงินบาทแข็งเร็ว เทียบกับเหรียญสหรัฐ ล่าสุดปิดที่ระดับ 32.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านลบ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวเสียประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้น้อยลงเป็น sentiment ลบกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์ได้ประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI,RCL,WHAUP,WHA เป็นต้น และเงินลงทุนมีมูลค่าสูงขึ้น เช่น BTS
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12791