- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 21 August 2018 16:39
- Hits: 2890
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“SET ได้อานิสงส์ บาทแข็งเร็ว ทรัมป์วิจารณ์เฟด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : WORK (จากถือเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับขึ้นต่อ 11.38 จุด ณ 1701.42 จุด ขณะที่ยอดสูงสุดของวันคือ 1705.33 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายอ่อนลง 44.9 พันล้านบาท จากข่าวจีนเจรจากับสหรัฐก่อนวันที่ 23 ส.ค.ที่จะปรับขึ้นภาษี และสหรัฐจะเจรจากับเม็กซิโก (“NAFTA”) ราคาน้ำมันกลับมาปรับขึ้นได้ บาทแข็งค่า ธปท.ประกาศ GDP ไตรมาส 2 ออกมาสดใส หลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ปรับตัวดีขึ้นมี PTT,SCC,ADVANC แต่ TMB ปรับลง หลังสินเชื่อ ก.ค.หดตัว ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 1.3 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 0.6 พันล้านบาท ผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.5 พันล้านบาท และต่างประเทศ 0.4 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ได้อานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่าเร็ว ดอลลาร์อ่อนค่า หลังทรัมป์ไปวิพากษ์เฟด ควรใช้นโยบายผ่อนคลายมากขึ้น จึงมีโอกาสที่เงินจะไหลเข้าอีกทั้งข่าวจีนจะกลับมาเจรจาการค้ากับสหรัฐ ที่สำคัญคือ 22-23 ส.ค.61 ก่อนภาษีนำเข้าจะปรับขึ้นในวันที่ 23 ส.ค.61 น้ำมันยังปรับขึ้นดี และต่างชาติขายสุทธิน้อยลง ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปียังมีแนวโน้มลดลง ถือว่าเป็นบวก ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้สลับ ทั้งบวกและลบ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -7 จุด (8.24 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา เพราะทรัมป์อาจยังต้องการป้องกันการขาดดุลการค้าต่อไป ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่ก็อาจส่งออกได้มากขึ้นด้วย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1710-1730 จุด
Update หุ้นเด่น : BBL – ทิศทางดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้น หลักทรัพย์กลุ่มธนาคารได้ประโยขน์ เราเห็นว่า BBL จะเป็นหนึ่งในนั้น เพราะเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของไทย มีการปล่อยสินเชื่อองค์กรขนาดใหญ่ (Corporate Loans) ณ สิ้น 2Q18 เงินกองทุนแข็งแกร่ง โดยมี CAR เท่ากับ 17.2%, CET 1 และ Tier I ratios เท่ากับ 15.7% สูงกว่าขั้นต่ำที่ธปท.กำหนดไว้ภายใต้ Basel III ที่ 10.375%, 6.375% และ 7.875% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 218 บาท ซึ่งอิงกับ Gordon Growth Model หรือเทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ 0.98 เท่า
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ AEONTS, SCCC, STEC, GULF, GFPT, TFG, SQ, PLANB หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL, LALIN, HMPRO, AP, KCE, BJC หุ้นที่หลุด List ไม่มี หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ SCC, ERW, TVO
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น คาดหวังจีน-สหรัฐจะเจรจาการค้า ออกมาดี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,758.69 จุด เพิ่มขึ้น 89.37 จุด หรือ +0.35% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,857.05 จุด เพิ่มขึ้น 6.92 จุด หรือ +0.24% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,821.01 จุด เพิ่มขึ้น 4.68 จุด หรือ +0.06%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้ จะสามารถคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าได้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการทำข้อตกลงซื้อขายกิจการของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกกดดันในช่วงท้ายของการซื้อขายหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น คาดการณ์อุปทานน้ำมันโลกตึงตัว
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 66.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 72.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.) ซึ่งเป็นการปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกอาจประสบภาวะตึงตัว จากการที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน นอกจากนี้ ตลาดยังปัจจัยบวกจากความหวังที่ว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้จะสามารถคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าได้
• ทองคำ : ปรับขึ้น เพราะดอลลาร์อ่อนค่าลง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 10.4 ดอลลาร์ หรือ 0.88% ปิดที่ 1,194.60 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา
+ ดอลลาร์แข็งค่ามาก หลังทรัมป์วิพากษ์เฟดกรณีปรับขึ้นดอกเบี้ย
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.)หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดการเงินทั่วโลกมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
+/• จีนจะกลับมาเจรการค้ากับสหรัฐอีกคร้ง สิ่งที่ดีคือเป็น 22-23 ส.ค.61
# ทางการจีนยืนยันว่า คณะผู้แทนของจีนจะเดินทางไปยังสหรัฐภายในเดือนนี้ เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า การเจรจาดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 22-23 ส.ค.
# หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลยังระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของทั้งสหรัฐและจีนกำลังเร่งทำโร้ดแมพเพื่อผลักดันให้มีการบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งจะนำไปสู่การประชุมสุดยอดระหว่างปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง ในเดือนพ.ย.
+/• จับตาการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
# นักลงทุนยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ระหว่างสหรัฐและเม็กซิโกในสัปดาห์นี้ โดยนายอิลเดฟอนโซ กูจาร์โด รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเม็กซิโกจะพบปะหารือกับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า
+/- ติดตามประชุมเฟด ที่แจคสันโฮล บ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงิน และวันพรุ่งนี้มีแถลงรายงานประชุม
# นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน"
# นักลงทุนจับตาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ก.ค.-1 ส.ค. ในวันพุธนี้
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนมิ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือน ส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ สภาพัฒน์ฯ แถลง GDP 2Q61 วานนี้สดใส ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย
# นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2/61 ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์แถลงเช้าวันที่เติบโต 4.6% นั้นสอดคล้องกับที่ธปท.คาดการณ์ไว้ โดยจะมีการทบทวนอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนก.ย.นี้
# ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น ธปท.คาดว่าจะพิจารณาเลิกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยของประเทศอุตสาหกรรมหลักเริ่มมีทิศทางปรับขึ้นต่อเนื่อง ประเทศไทยก็ไม่สามารถใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสวนทางได้ โดยอาจมีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง
# ผลกระทบ: หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว คือเป็นปลายปีนี้เลยไม่ใช่ปีหน้า คาดว่าหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์คือธนาคารพาณิชย์ ที่แนะนำ ซื้อ คือ BBL, KBANK, KKP, TCAP และ TISCO
+ ศูนย์วิจัย ธนาคารกสิกรไทย คาด GDP ปีนี้ ขยายตัวสู่กรอบบน
# ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 61 มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนเข้าใกล้กรอบบนของประมาณการเศรษฐกิจที่ 4.0-5.0% (ค่ากลางที่ 4.5%) โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 61 คาดว่า จะยังคงรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก
# โดยมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากมาตรการภาครัฐทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบกลางปี 61 การเร่งเบิกจ่ายโครงการลงทุนภาครัฐ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกทั้งในประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ รวมถึงประเด็นเศรษฐกิจตุรกี แต่ความยืดเยื้อจะยังกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากในปีนี้ จึงเป็นข้อดี
+ รองนายกฯ วิษณุ ชี้ยังไม่มีปัจจัยทำเลือกตั้งช้ากว่า 24 ก.พ.62
# "บิ๊กตู่" ประชุม ครม.สัญจรใต้ ปลื้มคนระนองเชียร์อยู่ยาว ไม่อยากเลือกตั้ง ด้าน"วิษณุ"ถก กกต.จ่อคลายล็อกกลาง ก.ย.รับยังไม่มีปัจจัยทำเลือกตั้งช้ากว่า 24 ก.พ. "สุเทพ" ท้า ป.ป.ช.ส่งศาลฎีกานักการเมืองชี้ขาดคดีโรงพักทดแทน (คมชัดลึก)
-/+ ค่าเงินบาทแข็งเร็ว เทียบกับเหรียญสหรัฐ ล่าสุดปิดที่ระดับ 32.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านลบ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวเสียประโยชน์คือแลกเหรียญเป็นบาทได้น้อยลงเป็น sentiment ลบกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์ได้ประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI,RCL,WHAUP,WHA เป็นต้น และเงินลงทุนมีมูลค่าสูงขึ้น เช่น BTS
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12730