- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 16 August 2018 16:52
- Hits: 4496
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Laggard Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index อยู่ในแดนลบทั้งวันถูกกดดันจากความกังวลจากสถานการณ์ค่าเงินตุรกีอ่อนค่าแรง ขณะที่ผลประกอบการเข้าสู่ช่วงท้ายของการรายงานซึ่งเกิด Sell on fact ตามมา ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญ 1,685 จุด แตะจุดต่ำสุดระหว่างวันที่ 1,673 จุด และปิดตลาดลดลง 19.06 จุด นักลงทุนต่างชาติ สถาบันในประเทศ และ Prop trade ขายทำกำไรต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรสูงถึง 1.3 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index มีแนวโน้มอ่อนตัวตามตลาดต่างประเทศจากสถานการณ์ค่าเงินในตลาด EM และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของตลาด EM ที่ส่วนใหญ่ปรับขึ้นเพื่อชะลอการอ่อนค่าของค่าเงิน ประกอบกับภาพรวมของผลประกอบการ 2Q18 ไม่ได้มี Surprise เชิงบวกอย่างมีนัยยะ จึงมีโอกาสเห็นการ sell on fact ตามมา
กลยุทธ์ : ระยะสั้น รอดูจนกว่าแรงขายจะเบาบาง ระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเมื่อราคาปรับลง
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BJC, BKD, INTUCH, RS, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$221 ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$126ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$59ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลสงครามการค้าที่ลุกลาม
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> CPALL <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 84 บาท
เรามองผ่านกำไรต่ำสุดของปีแล้วใน 2Q18 แม้ธุรกิจที่มาร์จิ้นดีอย่าง Counter Service น่าจะยังโตชะลอ รวมถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นใน 2Q18 ก็น่าจะยังมีต่อเนื่องใน 2H18 แต่ในแง่แนวโน้มรายได้ ยังน่าจะทำได้ดีจากฐานต่ำปีก่อน และการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์จะกลับมาหนุน MAKRO
คาดกำไรสุทธิปีนี้ยังโตได้ 4.8% Y-Y และจะกลับมาโตเด่นมากขึ้นในปีหน้า 15.4% Y-Y
แรงขายเบาลงทั้งใน SBL และการ Short ผ่าน Block Trade ในทางตรงข้าม NVDR กลับเร่งซื้อในเดือนนี้มากสุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับอัตราเร่งการปรับลงของราคาหุ้นที่เริ่มชะลอ จึงเป็นไปได้ที่จะเห็นการฟื้นกลับระยะสั้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) ความกังวลในตลาด EM กลับมาอีกครั้ง จากการตอบโต้สหรัฐฯของทางการตุรกี ที่ยิ่งทำให้ Dollar Index ปรับขึ้น และกดดันค่าเงินประเทศ EM อ่อนค่าหนัก โดยล่าสุดธนาคารกลางอินโดนีเซียพยายามสกัดเงินไหลออกด้วยการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 5.5% แต่ยังไม่สามารถช่วยได้ เพราะอินโดนีเซียเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ขาดดุลบัญชีแฝด และมีหนี้ต่างประเทศสูง 30% ของ GDP ดอลล่าร์ฯที่แข็งยิ่งไม่เป็นผลดี กระแสเงินยังมีโอกาสไหลออกจากภูมิภาค แม้ไทยดูจะกระทบน้อยสุด แต่ก็เลี่ยงยาก
(0) PTTEP ประชุมนักวิเคราะห์วานนี้โทนเป็นกลาง แม้ว่าปริมาณการขายจะลดลงประมาณ 2% จากการขายเงินลงทุนใน Montara แต่จะไม่ได้กระทบกำไรอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเป็นแหล่งที่มีต้นทุนในการผลิตสูง ขณะที่ แนวโน้มกำไรใน 2H18 จะได้รับผลดีจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบงกชที่จะหนุนกำลังการผลิตของทั้งบริษัทเพิ่มอีก 10% และราคาน้ำมันดิบดูไบที่น่าจะทรงตัวอยู่ที่ US$70/บาร์เรล (+3% H-H) แต่ต้องจับตาดูผลของ Iran Sanction ในเดือน พ.ย. ราคาหุ้นสูงกว่าราคาเหมาะสมของเราที่ 130 บาท แต่การประมูลสัญญาสัมปทานในแหล่งบงกชและเอราวัณ มีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้อีกราว 25-30 บาท เราจึงยังแนะนำซื้อเก็งกำไรจากโอกาสที่จะชนะการประมูล
(0) ERW ประชุมนักวิเคราะห์วานนี้โทนเป็นกลาง แนวโน้มกำไร 3Q18 จะดีขึ้น Q-Q แต่ยังไม่เด่นเนื่องจากเดือน ก.ค. ยังได้รับผลกระทบจาก Renovation JW Marriott และมีค่าใช้จ่ายเตรียมเปิดโรงแรมใหม่เข้ามาบางส่วน แต่คาดว่ากำไรจะกลับมาโตก้าวกระโดดใน 4Q18 จาก High Season นักท่องเที่ยวกลับมาโตในอัตราเร่งและ JW Marriott กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2018 โต 18% Y-Y อยู่ที่ 623 ลบ. คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 9 บาท
(+) SEAFCO กำไร 2Q18 ออกมาดีกว่าคาดมาก +78% Q-Q, +145% Y-Y อยู่ที่ 93 ลบ. จากการเริ่มงานก่อสร้างหลักหลายโครงการใหญ่พร้อมกันทั้งรถไฟฟ้าสีส้ม และ One Bangkok เฟส 1, 2 บวกกับอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มเป็น 22.6% จาก 21.9% ใน 1Q18 กำไร 1H18 คิดเป็น 53% ของคาดการณ์ทั้งปีที่ 277 ลบ. +31% Y-Y เรามีโอกาสปรับประมาณการขึ้น แต่เบื้องต้นคงราคาเหมาะสม 9.10 บาท แนะนำซื้ออ่อนตัว
(+) PRM ประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ดูเป็นบวกมากขึ้น เพราะผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 4Q17-1Q18 โดยกำไรสุทธิ 2Q18 +40% Q-Q, +6% Y-Y อยู่ที่ 198 ลบ. และ 2H18 จะรวมงบกับ Big Sea เรากำลังอยู่ในช่วงทบทวนประมาณการ เบื้องต้นคาดปีนี้มีกำไรสุทธิราว 800 ลบ. +11% Y-Y ราคาหุ้นซื้อขายบน PE2018 ไม่แพงราว 23 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มเรืออื่นๆที่ 50 เท่า และมีปันผลดีปีละ 4-5% แนะนำเก็งกำไร ถ้าให้กรอบ PE ที่ 25-30 เท่า ราคาเหมาะสมจะอยู่ที่ 8-9.6 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
16 ส.ค.- ญี่ปุ่น: ดุลการค้า (ก.ค.)
17 ส.ค.- สหรัฐฯ: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ส.ค.)
20 ส.ค.- ไทย: 2Q18 GDP
22 ส.ค.- ตลาดหุ้นหลายแห่งปิดทำการเนื่องในวันฮารีรายอ เช่น สิงคโปร์ม มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, อินเดีย
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงจากแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลัง Tencent ประกาศผลกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดประมาณ 7% ซึ่งถือว่าลดลงครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี นอกจากนี้ การปรับตัวลงของน้ำมันดิบยังกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องวิกฤตในตุรกีและจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบ
(-) ตลาดเอเชียปรับตัวลงจากความกังวลในเรื่องค่าเงินที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงการชะลอตัวลงของผลกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในประเทศจีน
(0) ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังคงทรงตัวอยู่ที่บริเวณ 33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. ลดลง 2.03 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 65.01 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐปรับตัวขึ้นกว่า 6.8 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาด
(+) ค่าการกลั่นสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 0.92 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 7.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ร่วงลง 15.70 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1185.00 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO12521