- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 August 2018 16:32
- Hits: 3591
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กังวลสงครามการค้าระลอกใหม่
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มีผลวันที่ 23 ส.ค.นี้ คาดว่าทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนปะทุขึ้นอีกระลอก นักลงทุนต้องเริ่มระมัดระวังหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี หลังจากเราฟังภาพรวมครึ่งปีหลังของ IVL และ TOP เราพบว่ากลุ่มปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์อาจจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากผู้บริโภครายใหญ่สุดสำหรับสินค้านี้คือประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเผชิญการชะลอตัวของภาคการผลิตเนื่องจากเหตุที่ไม่มั่นในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมป้อนให้กับสหรัฐฯ จะมีบางสินค้าที่ไทยมีฐานการผลิตอยู่อาจจะได้รับผลบวกในการรับออเดอร์แทนที่ เช่นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอาหาร หุ้นเด่นใน Theme นี้เรามอง KCE, TU, CPF เราจึงแนะนำนักลงทุนต้องเริ่มการปรับกลยุทธ์การลงทุนรับกับสถานการณ์สงครามการค้าที่เกิดขึ้น รวมถึงการตั้งรับกับทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศด้วย ควบคู่ไปกับการถือเงินสดเพิ่มในระดับ 50% ถือหุ้นในระดับ 50% เพื่อเตรียมการช้อนซื้อหากตลาดหุ้นโดยรวมอ่อนตัวจากความวิตกกังวลเรื่องสงครามการค้า ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/61 ของหลาย บจ.ที่ทยอยประกาศออกมาแม้ไม่แย่มาก แต่ก็ไม่ดีมาก บางส่วนก็ทำกำไรได้มาจากรายการพิเศษเช่นกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกำไรสต๊อก เป็นต้น จึงคาดว่าไม่สร้าง Good Surprise ให้กับตลาดหุ้นในช่วงนี้มากนัก
กรอบดัชนีวันนี้ : 1,695-1,720 จุด หุ้นแนะนำ TOP, SC, MTC
Stock Comment
TOP Pick of the day
SC (ปิด 3.66 บาท; ซื้อ; AWS TP 4.70 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ 450 ล้านบาท Turnaround ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 แล้ว คาด EPS ปี 2561 ที่ 0.47 บาท ราคาเป้าหมายอิง PER 10 เท่า ที่ 4.70 บาท
MTC (ปิด 39.25 บาท; ซื้อ; AWS TP 50.00 บาท) ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ 912 ล้านบาท ดีขึ้นอย่างโดดเด่นทั้ง YoY และ QoQ
หุ้นเด่นวันนี้ : TOP (ปิด 80.25 บาท; ซื้อ; AWS TP 92 บาท)
TOP เผยกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 เท่ากับ 4,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.5% YoY แม้มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการ Hedging บางส่วน แต่กำไรส่วนใหญ่เป็นกำไรจากสต๊อกน้ำมัน โดยในส่วนของ GIM ที่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน ในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 10.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 6.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/60 หรือเพิ่มขึ้น 4.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดสิ้นไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 73.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับปิดสิ้นไตรมาส 1/61 ที่ 62.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 2/60
GIM ที่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน ในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 10.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แยกเป็น Market GRM เท่ากับ 4.0 เหรียญฯ Aromatics & LAB ที่ 1.3 เหรียญฯ Lube Base 0.7 เหรียญฯ ซึ่งเป็น GIM ที่เกิดจากการดำเนินงานจริงเพียง 5.9 เหรียญฯ ต่ำกว่าไตรมาสก่อนที่ 8.2 เหรียญฯ ขณะที่เป็นกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 5.0 เหรียญฯ ทั้งนี้เนื่องจากไตรมาส 2/61 มีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนช่วง พ.ค.-กลาย มิ.ย. และราคา Crude Premium สูงตามราคาน้ำมัน ทำให้ค่าการกลั่นถูกกดดันมากกว่าไตรมาสอื่น ๆ
แนวโน้มไตรมาส 3/61 คาดว่า Crude Run ลดลงจากช่วงพีคในไตรมาส 2/61 เนื่องจากซัพพลายน้ำมันเพิ่มมากขึ้น แต่คาดราคาน้ำมันดิบจะปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/61 โดยได้รับแรงหนุนจากซัพพลายที่ขาดไปจากการที่อิหร่านถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเวเนซุเอลามีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง หลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจและความไม่สงบในประเทศ ส่วนตลาดพาราไซลีนในช่วงไตรมาส 3/61 คาดว่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 2/61 แม้จะหมดฤดูกาลผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวด PET สำหรับหน้าร้อนก็ตาม เนื่องจากโรง PTA ที่เป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของพาราไซลีนกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุงทั้งตามแผนและไม่ตามแผนเป็นที่เรียบร้อยแล้วทำให้ความต้องการใช้สารพาราไซลีนฟื้นตัวดีขึ้น (ประเด็นนี้ลดผลบวกต่อ IVL และเพิ่มผลบวกต่อผู้ผลิตพาราไซลีนต้นน้ำอย่าง TOP, PTTGC) เรายังคงแนะนำซื้อ TOP เนื่องจากความแข็งแกร่งของฐานะการเงินและมีโอกาสจ่ายปันผลระหว่างกาลในเดือน ก.ย. อย่างไรก็ตามเราปรับลดราคาเป้าหมายลงจากเดิม 111 บาท เป็น 92 บาท เปลี่ยนจากการอิงค่า EV/EBITDA ที่ 6 เท่า เป็น 5 เท่า เพื่อให้สอดคล้องกับความระมัดระวังในการเทรดหุ้น Commodity ในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งสถานการณ์ราคาพลังงานและปิโตรเคมีอาจจะพลิกสู่ขาลง
Price Pattern ของ TOP แม้ว่าจะยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Sell Signal แต่ Price Pattern ของ TOP เริ่มมีความแข็งแกร่งในระยะสั้นจากการเกิด Daily Buy Signal TOP มีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 84.25 บาท มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 80 บาท (Resistance: 81.75, 83.25, 85.00; Support: 80.00, 78.50, 76.75)
ปัจจัยในประเทศ :
KBANK (ราคาปิด 214 บาท; ซื้อ; AWS TP 237 บาท) : ส่งสัญญาณถึงการปรับดอกเบี้ยเงินกู้ หลังจาก SCB (ราคาปิด 143 บาท; ถือ; AWS TP 135 บาท) และ TCAP (ราคาปิด 52.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 59 บาท) ปรับดอกเบี้ยบางส่วนขึ้นก่อน เช่น ดอกเบี้ยบ้านและเช่าซื้อรถยนต์ (ข่าวหุ้น) ความเห็น: สภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าวหนุนโดยอุปสงค์สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เราคาดดอกเบี้ยจะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นมากกว่า ทำให้เรายังประมาณการอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิปี 2561 ของ KBANK ที่ 3.4% เป็นไปตามเป้าหมายของธนาคารที่ 3.2-3.4%
BCPG (ปิด 19.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 21.00 บาท) : ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิ 418 ล้านบาทหรือ (-9% YoY, +19% QoQ) ดีกว่าที่ Bloomberg consensus ประมาณการไว้ 4% และใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 416 ล้านบาท (Settrade.com) ความเห็น: แนวโน้มผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ช่วงครึ่งหลังของปี 2561 นี้ บริษัทจะมีโครงการโรงไฟฟ้าที่จะจ่ายไฟเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมอีกประมาณ 49 MW และมีปัจจัยบวกจากการขายโรงไฟฟ้าเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ญี่ปุ่นที่คาดจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ต.ค.61 คงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 21.00 บาท
TRUE (ปิด 6.50 บาท; HOLD; AWS TP 7.10 บาท) : เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา TRUE ได้ส่งหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าจะไม่เข้าร่วมในการประมูลความถี่ 900MHz และ 1800MHz โดย TRUE เน้นย้ำว่าการตัดสินใจไม่เข้าร่วมประมูลจะไม่ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาสทางธุรกิจหรือส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ TrueMove H ในตลาดโทรศัพท์มือถือ (Bangkok Post) ความเห็น: TRUE ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้คลื่นเพิ่มเติมเนื่องจากตัวบริษัทมีคลื่นถือครองอยู่ในมือจำนวน Bandwidth รวม 55MHz ซึ่งเพียงพอและสามารถรองรับการเติบโตของผู้ใช้งานอยู่
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นจีน : ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตพุ่ง 74.21 จุด หรือ 2.74% ปิดที่ 2,779 จุด จากแรงซื้อหลังจากที่ร่วงลงเมื่อวานนี้ แต่ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มีผลวันที่ 23 ส.ค.นี้ มาตรการดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ประกาศรายการสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีนที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนการเรียกเก็บภาษีสินค้าล็อตที่ 2 วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.ที่จะถึงนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์พุ่งขึ้น 126.73 จุด หรือ +0.50% ขณะที่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 23.99 จุด หรือ +0.31% และดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8.05 จุด หรือ +0.28% ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นเทสลาและหุ้นอัลฟาเบท ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หุ้นเทสโลาซึ่งทะยานขึ้น 11% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา ได้ทวีตข้อความว่า เขากำลังพิจารณานำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์ โดยข้อความดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาทะยานขึ้น นอกจากนี้ ราคาหุ้นเทสลายังพุ่งขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า กองทุนบริหารความมั่งคั่งของซาอุดิอาระเบียได้เข้าซื้อหุ้นเทสลาจำนวน 3-5% คิดเป็นวงเงิน 1.9-3.1 พันล้านดอลลาร์
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว หลังจากสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันเช่นกัน นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO12260