- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 06 August 2018 23:22
- Hits: 8273
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“บวก...ตัวเลขจ้างงานไม่ร้อนแรง-ดอลาร์อ่อน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index รีบาวด์ 3.81 จุด ที่ 1712.09 จุด ระหว่างวันไปทำยอดสูงสุดที่ 1715.48 จุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 47.6 พันล้านบาท ดัชนีฯกลับมารีบาวด์หลังปรับลงมากในวันพฤหัส แม้มีปัจจัยลบคือ สงครามสหรัฐ-จีนที่รุนแรงขึ้น ดอลลาร์แข็งค่าบาทกลับมาอ่อน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรา 10 ปี เข้าใกล้ 3% เงินมีโอกาสไหลออก ดาวโจนส์ปรับลง แต่ปัจจัยที่ค้ำจุนคือ ต่างชาติซื้อสุทธิ Nasdaq ปรับขึ้นสวนดาวโจนส์ เก็งกำไรงบไตรมาส 2 หลักทรัพย์กลุ่ม non-bank หุ้นกลุ่มธนาคารฟื้นตัว แต่ที่ปรับลงคือ CPALL, ADVANC หลังประกาศงบ ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ ต่างประเทศ 0.6 พันล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป 0.2 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ สถาบัน 0.7 พันล้านบาท และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.07 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ยังดูเป็นบวก มีโอกาสที่จะปรับขึ้นต่อ จากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรอ่อนกว่าคาด และค่าจ้างรายชั่วโมงเพิ่มตามคาด ดาวโจนส์บวก ดอลลาร์อ่อนค่า เงินไหลออกน้อยลง แต่ข่าวลบคือ จีนเริ่มตอบโต้สหรัฐฯ ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่กลับมารีบาวด์ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +26 จุด (8.32 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น ส่วนภาพใหญ่ปัจจัยต่างประเทศเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านมากๆในอนาคต จนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมและทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1690-1730 จุด
Update หุ้นเด่น : MTC – KTB ปล่อยกู้ให้ MTC 3 พันล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจ เมื่อ 27 มิ.ย.61 เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ และ MTC ยังคงเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง –ในปี 61/62/63 ทางบริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ปลี ะ 600 แห่ง (สิ้นพ.ค.61 มีสาขาทั้งหมด 2,888 แห่ง และสิ้นปี 60 มี 2,424 แห่ง) ซึ่งจะช่วยให้สินเชื่อเติบโตได้ 40%/40%/30% ตามลำดับ แนะนำซื้อ - โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 52 บาท ซึ่งประเมินด้วย PEG ที่ 1.0 เท่า อิงตามค่าเฉลี่ย CAGR (ปี 60-63) ของการเติบโตกำไรที่ 34% โดยการเติบโตของกำไรปีนี้และปี 62 เป็น +35%/+35% ตามลำดับ ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีกถึง 30%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1720-1730, 1740 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ 1700 แนวรับ 1690,1680
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KKP,KCE,BH,COM7,AUCT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ GFPT,HMPRO,PTL,TOP, หุ้นที่หลุด List TASCO,CPT และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ AP,RS,TU,TTCL,PSH,THANI,SAT
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นได้ แม้ผิดหวังตัวเลขจ้างงาน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,462.58 จุด เพิ่มขึ้น 136.42 จุด หรือ +0.54% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,840.35 จุด เพิ่มขึ้น 13.13 จุด หรือ +0.46% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,812.01 จุด เพิ่มขึ้น 9.33 จุด หรือ +0.12%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดในแดนบวกเมื่อวันศุกร์ (3 ส.ค.) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการอันแข็งแกร่งของบริษัทต่างๆที่มีการรายงานตลอดทั้งสัปดาห์ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เพราะตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง กังวลอุปทาน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 68.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 24 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 73.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (3 ส.ค.) ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันจากรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
• ทองคำ : ปรับขึ้น กังวลสงครามการค้า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ 1,223.20 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. 2560
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ (3 ส.ค.) โดยนักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซาของสหรัฐ
+ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรอ่อน ค่าจ้างต่อชั่วโมงเพิ่มตามคาดการณ์
# กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ค. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 157,000 ตำแหน่ง โดยเป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 248,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.9% สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี หลังจากแตะระดับ 4.0% ในเดือนมิ.ย.
# ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 7 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.3% จากระดับ 0.2% ในเดือนมิ.ย. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี โดยสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
-จีนเริ่มตอบโต้สหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม หากสหรัฐจะเก็บจากจีน
# ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเมื่อคืนนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษีในช่วง 5-25% จีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน การประกาศดังกล่าวของจีนมีขึ้น หลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้เพื่อขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
-/• ผู้ว่าฯแบงก์ชาติอังกฤษเตือนมีความเสี่ยงสูงอังกฤษออกจาก EU โดยไร้ข้อตกลง
# ปอนด์ร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากที่นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เตือนว่า มีความเสี่ยงสูงมากที่อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) โดยปราศจากการทำข้อตกลงใดๆ แต่ธนาคารต่างๆมีเงินทุนและสภาพคล่องที่จำเป็น และมีแผนสำรองเตรียมไว้แล้ว
+ ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า สะท้อนข่าวตัวเลขจ้างงานไม่แรง
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนได้ซึมซับแถลงการณ์ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐเดือนส.ค.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ รมช.คลัง ยอมรับการพิจารณาร่างกม.ภาษีที่ดินฯ ล่าช้า
# รมช.คลัง ยอมรับการพิจารณาร่างกม.ภาษีที่ดินฯ ล่าช้า คาดเสนอสนช.หลังก.ย.61 ไม่ฟันธงมีผลต้นปี 62 เนื่องจากมีบางหน่วยงานยังไม่พร้อม เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เนื่องจากกฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ทำให้ไม่สามารถเข้าไปสำรวจพื้นที่ในการจัดเก็บภาษีได้ว่าควรเก็บภาษีที่ดินประเภทไหน อย่างไร
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับหลักทรัพย์กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะความเสี่ยงเรื่องผลกระทบทางลบในเรื่องภาระต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นมีโอกาสจะเลื่อนออกไป
• กนง.ประชุม 8 ส.ค.61 คาดยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
# จับตาประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 8 ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% โดยเฉพาะถ้อยแถลงเกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ตามแนวโน้มของต่างประเทศ
-/• สัปดาห์นี้ติดตามการประกาศงบกลุ่มพลังงาน ที่มี market cap สูงสุด
# สัปดาห์นี้จะมีหุ้นกลุ่มพลังงานจะทยอยประกาศผลประกอบการออกมา ทั้งกลุ่ม PTT และกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งถ้าหากผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ก็จะเป็นผลบวกให้ตลาดสามารถบวกขึ้นไปต่อได้ ซึ่งค่าการกลั่นในช่วงก.ค.61 ถีบตัวก้าวกระโดด มีแนวโน้มว่า 3Q61 จะมีกำไรจากการดำเนินงานดีกว่า 2Q61 เสียอีก
-TMB เตือนรับมือตลาดเงิน-ตลาดทุนผันผวนสูง ในช่วง 2H61
# ธนาคารทหารไทย (TMB) เตือนนักลงทุนและผู้ประกอบการ เตรียมรับมือตลาดทุนและตลาดเงินของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีต้องเผชิญความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากเงินทุนที่เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศ จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และสภาพคล่องที่ลดลงจากการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมและความผันผวนของค่าเงินบาทเพิ่มสูงขึ้น
+ สถานะของกองทุนคุ้มครองเงินฝาก เพียงพอระดับหนึ่งที่จะดูแลบัญชีเงินฝากของประชาชน
# รมช.คลัง ระบุ ปัจจุบันสถานะของกองทุนคุ้มครองเงินฝาก อยู่ที่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเพียงพอระดับหนึ่งที่จะดูแลบัญชีเงินฝากของประชาชนกรณีที่สถาบันการเงินระดับกลางเกิดปัญหา แต่หากเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ต้องเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้ามาดูแล เพราะอาจมีผลกระทบกับภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศได้
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12132