- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 03 August 2018 17:15
- Hits: 5112
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
1700 จุด ยืนไหว? แต่มีลุ้นรีบาวด์
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลงถึง 13.73 จุด ยืนอยู่ที่ 1708.28 จุด ระหว่างวันไปทำยอดต่ำสุดที่ 1700.69 จุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 53.4 พันล้านบาท ปัจจัยลบมาจาก ข่าวการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนไม่สำเร็จ จีนกลับถูกเก็บอัตราภาษีเพิ่มขึ้น แม้เฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ตามคาด แต่ส่งสัญญาณปรับขึ้น ก.ย. น้ำมันวานนี้กลับปรับลง หุ้นกลุ่มหลักปรับตัวต่ำลง แต่ที่บวกโดดเด่นคือ ASIAN ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 2.0 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ 1.0 พันล้านบาท และต่างประเทศ 0.3 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิเป็นรายเดียวคือ สถาบัน 3.3 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ต้องดู 1700 เป็นสำคัญว่ายืนอยู่ไหวไหม เพราะมีปัจจัยลบจากเรื่องสงครามสหรัฐ-จีนที่รุนแรงขึ้น ดอลลาร์แข็งค่า บาทกลับมาอ่อน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรา 10 ปี เข้าใกล้ 3% เงินมีโอกาสไหลออก ดาวโจนส์ปรับลง แต่มีปัจจัยที่ค้ำจุนอยู่ ได้แก่ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิแม้เริ่มแผ่วลงบ้าง Nasdaq ปรับขึ้นสวนดาวโจนส์ เก็งกำไรงบไตรมาส 2 หลักทรัพย์กลุ่ม non-bank หลังกลุ่มแบงค์ดีกว่าคาด จึงมีโอกาสเช่นกันที่จะรีบาวด์ได้ ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่กลับมารีบาวด์ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +5 จุด (8.12 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง ส่วนภาพใหญ่ปัจจัยต่างประเทศเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐนับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านมากๆในอนาคต จนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมและทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1690-1730 จุด
Update หุ้นเด่น : TCAP – ล่าสุดประกาศซื้อหุ้นคืนใช้เงินไม่เกิน 1 พันล้านบาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/BV ต่ำเพียง 0.9 เท่า และธนาคารทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะซื้อหุ้นคืนโดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทาง DBS แนะนำซื้อ TCAP ให้ราคาพื้นฐาน 62 บาท โดยอิงกับ Gordon Growth Model ซึ่งเทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ เท่า 1.1 ทั้งนี้แม้ว่าอัตราภาษีปีนี้จะสูงขึ้นแต่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตได้ 7.4% ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีกถึง 20% อีกทั้งยังเป็นหลักทรัพย์ที่จ่ายปันผลได้สูง คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้และปีหน้าเป็น 4.7% และ 5.0% ตามลำดับ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1715-1720, 1730 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ 1700 แนวรับ 1690,1680
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TTCL,PSH,THANI,SAT,QH,TVO ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ CPT, GFPT, HMPRO, AP, PTL, TASCO, TOP, RS, TU หุ้นที่หลุด List GLOBAL และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ CPN, AH
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง แต่ S&P 500-Nasdaq บวกสวน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,326.16 จุด ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.03% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,827.22 จุด เพิ่มขึ้น 13.86 จุด หรือ 0.49% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,802.69 จุด เพิ่มขึ้น 95.40 จุด หรือ 1.24%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิลจนทำสถิติเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลกที่มีมูลค่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยบดบังความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น มีแรงซื้อกลับหลังร่วงแรง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 68.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 73.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) ปิดปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 วัน โดยนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังราคาน้ำมันดิบร่วงหนักแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ประกอบกับตลาดได้แรงหนุนจากข้อมูลที่เผยให้เห็นว่า สต็อกน้ำมันดิบ ณ จุดส่งมอบ คุชชิ่ง โอกลาโฮมา ลดลงอย่างมาก รวมทั้งยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น
• ทองคำ : ปรับลง เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.50 ดอลลาร์ หรือ 0.61% ปิดที่ 1,220.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. 2560
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) ภายหลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐจะแถลงมติการประชุมว่า จะค่อยๆปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
-/• การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด
# การประชุม BoE วานนี้ ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.75% หลังจากทางการอังกฤษเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สดใส เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และถือเป็นการปรับขึ้นครั้งที่สอง หลัง พ.ย.60 ปรับขึ้น 0.25% มาก่อนหน้าแล้ว
- การเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ไปในทางไม่สำเร็จ จีนถูกเก็บอัตราภาษีเพิ่มอีก รอดูมาตรการตอบโต้
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์
# ทั้งนี้ แผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% นั้น สูงกว่าแผนการที่สหรัฐเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
-เฟดยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม ก.ย.61
# ก่อนหน้านี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ของเฟดได้ระบุถึงภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ใกล้ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% นับตั้งแต่การประชุมในเดือนมิ.ย. โดยถ้อยแถลงดังกล่าวนับเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.
# ทั้งนี้ จากการใช้เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐพบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 91% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และมีโอกาส 71% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเป็น ข้อมูลแรงงานออกมาแข็งแกร่ง
# ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 219,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง
# นักลงทุนยังจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ในวันนี้เวลาประมาณ 19.30 น.ตามเวลาไทย
- ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า สะท้อนข่าวเฟด
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนได้ซึมซับแถลงการณ์ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐเดือนส.ค.
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศต่อไป
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือนก.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ดุลการค้าเดือนมิ.ย., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. และดัชนีภาคบริการเดือน ก.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
-/• กระทรวงท่องเที่ยวเผยนักท่องเที่ยว ก.ค.61 โตแค่ 4% จีน-ยุโรปหด
# ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 19.48 ล้านคน ขยายตัว 12.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในเดือน มิ.ย.มีการขยายตัวสูงถึง 11.57% นักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย และอินเดีย (Aspen)
# ผลกระทบ: แม้ดูเป็นข่าวลบที่ ก.ค.61 เติบโตน้อยลงมาก ต้องยอมรับว่าข่าวอุบัติเหตุที่ภูเก็ต ทำให้ความมั่นใจนักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่คาดว่าราคาหุ้นในกลุ่ม โรงแรม สนามบิน และเดินทาง (สายการบิน) ได้ตอบรับข่าวไปล่วงหน้าแล้ว คาดว่าจากนี้ไปทางภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือก้นสร้างความมั่นใจ และเชื่อว่าเมื่อถึง High Season อีกครั้งเหตุการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น อย่างเช่น การได้เป็นเจ้าภาพงานประกวด Miss Universe เป็นต้น
# คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาหุ้นปรับลงเป็นจังหวะทยอยสะสมเพื่อลงทุน สำหรับกลุ่มโรงแรมคือ CENTEL, ERW, MINT (อยู่กลุ่มอาหารแต่มีธุรกิจโรงแรมเป็นหลักด้วย) และกลุ่มขนส่ง แนะนำ ซื้อ AOT, AAV, BA แต่แนะนำถือ สำหรับ THAI ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค.ที่ 82.2 สูงสุดในรอบ 62 เดือน
+ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.ค. 61 ปรับตัวสูงสุดในรอบ 62 เดือน
# ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.ค. 61 อยู่ที่ 82.2 จาก 81.3 ในเดือน มิ.ย.61 โดยปรับตัวสูงสุดในรอบ 62 เดือน
# ดัชนีปรับตัวดีขึ้นมาจาก ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคตที่ปรับตัวดีขึ้นมาก โดยการส่งออกและท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องในอนาคต
# ความเห็น DBS Research : เราให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุนและการบริโภคเท่ากับตลาด (Neutral) แนะนำ Selective Buy โดยหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าวประจำเดือนส.ค.61 ประกอบด้วย AP (ราคาพื้นฐาน 10 บาท), ORI (ราคาพื้นฐาน 23.40 บาท), CPN (ราคาพื้นฐาน 85 บาท), HMPRO (ราคาพื้นฐาน 17.50 บาท), MINT (ราคาพื้นฐาน 50 บาท) และ MTC (ราคาพื้นฐาน 52 บาท)
+ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) คาดส่งออกไทยปี 61 โต 8-9% จากเดิม 8%
# ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าว่า สรท.คาดการณ์มูลค่าการส่งออกไทยในปี 61 เติบโต 8-9% ก่อนหน้านี้ สรท.วางเป้าการส่งออกไทยในปีนี้เติบโต 8% แต่ได้ปรับสมมติฐานค่าเงินบาทมาอยู่ที่ 33 บาท/ดอลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ทางสภาผู้ส่งออกฯ ยังไม่มั่นใจว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวถึง 10% ตามที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้หรือไม่ แม้สถานการณ์การส่งออกในเดือน มิ.ย.จะขยายตัวสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 แล้วก็ตาม เนื่องจากยังมีความกังวลในเรื่องผลกระทบจากสงครามการค้าระลอกใหม่ และทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12073