- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 25 July 2018 17:21
- Hits: 4568
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
สหรัฐเข้าเยียวยาเกษตรกรที่กระทบสงครามทางการค้า จะทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐเปลี่ยนท่าทีกับจีนหรือไม่ กดดัน Dollar Index ชะลอการแข็งค่า ขณะที่การรายงานงบ 2Q61 วันนี้ SCC คาดกำไร 1.2 หมื่นล้านบาท กลยุทธ์ให้ปรับพอร์ตถือหุ้น 40% และสลับมาหุ้น Domestic ยังชอบ BJC, BH, DTAC, EASTW, BBL, CPF Top picks คือ DTAC(FV@B68) และ BH(FV@B221) โดยให้หลีกเลี่ยง RATCH(FV@B61) เพราะความเสียหายจากเขื่อนแตกในลาว กระทบมูลค่าหุ้นจำกัด แต่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อาจจะรับผิดชอบไม่จำกัด
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ …. SET ยืนไม่ไหว ผันผวนก่อนปิดตลาดในแดนลบ
วานนี้ตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนในกรอบกว้าง โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวัน 1686 จุด ก่อนย่อลงมาปิดที่ 1674.22 จุด ลดลง 1.53 จุด หรือ 0.09% มูลค่าการซื้อขาย 5.6 หมื่นล้านบาท หุ้นกลุ่มหลักๆ ที่ปรับตัวลงคือ พลังงาน นำโดยกลุ่ม ปตท. (PTT PTTEP PTTGC) ธนาคาร นำโดย KBANK ลดลง 2.35% ตามด้วยธนาคารกลางและเล็ก (KKP TISCO TCAP) ยกเว้นหุ้นรายตัวที่มีแรงซื้อเก็งกำไรผลดำเนินงาน SCC (+1.4%) และ DTAC (+2.52%) มีแรงซื้อกลับเข้ามาหลังราคาหุ้นสะท้อนผลการดำเนินงานต่ำสุดของปีไปแล้ว
แนวโน้มตลาดฯ วันนี้คาดว่าแกว่งตัวในกรอบ 1660-1680 จุด โดยให้น้ำหนักต่อ การรายงานงบ 2Q61 ของ real sector ซึ่งวันนี้จะมีการประกาศงบ SCC ส่วนสงครามทางการค้าน่าจะเริ่มเบาลง หลังจาก ภาคเกษตรได้รับความเสียหายจากสงครามการค้า จนทำให้รัฐบาลทรัมป์ฯ ต้องเข้าเยียวยาผู้ที่เดือดร้อนแล้ว ติดตามว่าประธานาธิบดีสหรัฐจะเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกหรือไม่
เกษตรกรสหรัฐกระทบสงครามการค้า..รัฐเข้าเยียวยา
ผลกระทบจากการประกาศสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ที่มีผล 6 ก.ค. โดยขึ้นภาษีนำเข้า 25% มูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญฯ ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในสหรัฐชัดเจนขึ้น (ภาคเกษตรคิดราว 1%ของ GDP ทั้งหมดในสหรัฐ เทียบกับ ภาคอุตสาหกรรม 20% และภาคบริการ 79%) โดยเฉพาะผู้ผลิตถั่วเหลือง , เนื้อหมู สะท้อนจากราคาสินค้าที่ปรับลงแรงตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.-ปัจจุบัน
วานนี้ รัฐบาลสหรัฐออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรฉุกเฉินวงเงิน 1.2 หมื่นล้านเหรียญฯ (ราว 0.06%ของ GDP สหรัฐปี 2560) คาดจะเริ่มโครงการ ต้นเดือน ก.ย. โดยจะช่วยเหลือผ่านการเลือกซื้อผลผลิตที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า อาทิ ถั่วเหลือง, ข้าวฟ่างและข้าวสาลี เป็นต้น และนำไปขายให้กับธนาคารอาหาร และโครงการด้านโภชนาการของรัฐบาล ส่วนที่เหลือจะส่งออก โดยเป็นการช่วยเหลือเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การช่วยเหลือในรอบนี้เป็นจุดเริ่มต้น และน่าจะตามมาในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะภาคการผลิต อาทิ เครื่องบิน เนื่องจากยอดส่งออกเครื่องบิน Boeing (สัญชาติสหรัฐ) ส่งออกไปจีนในปี 2560 ราว 23% ของการส่งออกทั้งหมดไปทั่วโลก ขณะที่จีนนำเข้าเครื่องบินจาก สหรัฐมากที่สุดถึง 58% ของที่นำเข้าทั่วโลก รองลงมาคือ ยุโรป 37% ทำให้มีแนวโน้มที่จีนจะหันไปนำเข้าเครื่องบินจากคู่แข่งสำคัญ คือ Airbus (สัญชาติยุโรป) และยานยนต์และชิ้นส่วน สหรัฐเป็นผู้ส่งออกยานยนต์ อันดับที่ 3 ของโลกราว 9.1% ของทั่วโลก (รองจากญี่ปุ่น 10.2% เยอรมนี 18%) มีตลาดส่งออกหลักคือจีน (ราว 10.1% ของตลาดส่งออกรวม) ซึ่งทำให้จีนอาจจะเปลี่ยนแหล่งนำเข้าจากเอเซีย อาทิ ไทย, อินโดนีเซีย, อินเดีย และ เกาหลีใต้ เป็นต้น
RATCH อาจต้องรับผิดชอบความเสียหายต่อประชาชนลาวไม่จำกัด
จากการที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ใน สปป.ลาว กำลังการผลิต 410 เมกะวัตต์เกิดเหตุเขื่อนดินย่อย D ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เขื่อนย่อย เกิดการทรุดตัว ส่งผลให้สันเขื่อนดังกล่าวเกิดรอยร้าวและน้ำไหลออกสู่พื้นที่ที่อยู่อาศัยของประชาชน เมื่อ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งความคืบหน้า 90% กำหนดผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) 1 ก.พ. 2562 มีผู้ถือหุ้นหลักคือ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (RATCH) 25%, SK Engineering & Construction Company Limited 26%, Korea Western Power Company Limited 25% และรัฐบาล สปป. ลาว 24% ทางผู้บริหารของ RATCH เปิดเผยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อแผนผลิตไฟฟ้าเนื่องจากไม่ใช่เขื่อนหลัก และเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อกำหนดการเริ่มจ่ายไฟฟ้า (COD) ได้ตามกำหนดเดิมในเดือน ก.พ. 62
เบื้องต้น ASPS ประเมินผลกระทบต่อประมาณการฯ และ Fair Value ในวงจำกัด และ ในกรณีเลวร้ายไม่รวมโครงการนี้ 102.5 เมกะวัตต์ (คิดตามสัดส่วนที่ RATCH ถือ 25% จากกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 410 เมกะวัตต์) จะกระทบต่อกำลังการผลิตรวมของ RATCH เพียง 1.5% จากกำลังการผลิตรวมทั้งหมดของ RATCH ที่ราว 7,000 เมกะวัตต์ และกระทบต่อ Fair Value ราว 1 บาท
แต่อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประชากรกว่า 6 พันราย รวมทั้งทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อม ประเมินว่ามีมูลค่าค่อนข้างสูง แม้โครงการดังกล่าวจะยังมิได้ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่คาดว่าบริษัทร่วมทุนทั้ง 4 รวมทั้ง RATCH น่าจะมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ถือเป็น downside risk และเป็น sentiment เชิงลบ ระยะสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อนเพื่อรอความชัดเจน
ต่างชาติซื้อหุ้นในภูมิภาคเกือบทุกประเทศ รวมถึงไทย
วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ด้วยมูลค่าราว 230 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นเพียงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่ถูกขายสุทธิเล็กน้อย 1 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศ ต่างชาติซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 165 ล้านเหรียญ (หลังขายสุทธิ 3 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 20 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2), ไต้หวัน 6 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่า 39 ล้านเหรียญ หรือ 1.31 พันล้านบาท ต่างกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิเล็กน้อย 19 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ ต่างชาติขายสุทธิ 413 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปี ขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.75%
รายงานงบ 2Q61 Real sector ให้น้ำหนักหุ้นรายตัว
เข้าสู่ช่วงรายงานงบฯ 2Q61 ของหุ้น Real Sector ล่าสุดคือ DELTA (Sell:FV@B60) กำไรสุทธิ 1.39 พันล้านบาท (สูงกว่าคาด 11%) เพิ่มถึง 31.9% qoq และ 65.0% yoy มีบันทึกกำไรพิเศษจาก FX 97 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรปกติอยู่ที่ 1.29 พันล้านบาท ตามคาด เพิ่มขึ้น 17.1% qoq (แต่ลดลง 8.7 yoy) หนุนจาก ธุรกิจศูนย์จัดเก็บข้อมูลเติบโตต่อเนื่อง เพราะลูกค้ามีการปรับโมเดลสินค้าสู่รุ่นใหม่ขึ้น และธุรกิจภูมิภาคในอินเดียเติบโตต่อเนื่อง ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ลดลง 12.6% yoy ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน กดดัน gross margin หักล้างผลบวกจากแนวโน้มรายได้ในธุรกิจยานยนต์ ศูนย์จัดเก็บข้อมูล และธุรกิจภูมิภาคในอินเดียที่เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้ว จึงยังแนะนำขาย
และวันนี้น่าจะมีรายงานงบ SCC (Buy:FV@B600) คาดกำไร 2Q61 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1%qoq ด้วยแรงหนุนของธุรกิจปิโตรเคมีและเงินปันผลรับจากธุรกิจลงทุน ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำไรอ่อนตัว qoq ตามฤดูกาล แต่จะเติบโต yoy จาก Operation ในต่างประเทศที่ดี ตามด้วยน่าจะรายงานปลายสัปดาห์นี้ คือ PTTEP (Switch: FV@B137) คาดงวด 2Q61 กำไรสุทธิลดลงถึง 66.1%qoq แต่หากตัดรายการพิเศษ พบว่ากำไรปกติเพิ่มขึ้น 21%qoq ตามราคาขายและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี แม้คาด 2Q61 กำไรสุทธิเติบโต qoq หลักๆ มาจากการบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมัน ทั้ง IRPC (Buy : [email protected]) และ TOP (Switch : FV@B93) (ยกเว้น PTTGC (Buy : FV@B98) คาดกำไรสุทธิลดลง qoq) แต่ในส่วนของผลการดำเนินงานปกติคาดอ่อนตัวลง qoq เนื่องจากค่าการกลั่นที่ลดลง เช่นเดียวกับ spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงในสายอะโรเมติกส์ (ยกเว้นสายโอเลฟินส์ยังทรงตัวได้)
ขณะที่ 3Q61 คาดผลการดำเนินงานอ่อนตัว qoq ต่อ เนื่องจากเข้าสู่ช่วง low season, แผน shutdown โรงกลั่น และ supply ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีใหม่ที่จะผลิตเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้จะไม่มีการบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันในระดับสูงเช่นในงวด 2Q61 อีกทั้งอาจจะเผชิญกับขาดทุน FX จากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงนี้มาจากการเก็งกำไรตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช่วงสั้น แต่หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานแล้วมีโอกาสที่ราคาจะปรับลงได้หลังจากนี้ จึงแนะนำหาจังหวะทยอยขายทำกำไร และกลับมาลงทุนหลัง 3Q61 แต่สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วแนะนำถือต่อในหุ้นที่เงินปันผลที่ค่อนข้างสูง ซึ่งทั้ง PTTGC, IRPC และ TOP มี Div. Yield สูงกว่า 5%p.a.
ส่วนหุ้นอื่นๆ ที่มีการทำ Earnings Preview ออกมาเพิ่มเติมคือ
BR (Switch:FV@B6) คาดกำไรสุทธิงวด 2Q61 เท่ากับ 71 ล้านบาท ลดลงถึง 22.3% qoq และ 51.5% yoy ฉุดด้วยการบริโภคเป็ดในประเทศลดลง ขณะที่ราคาขายยังทรงตัวต่ำใกล้เคียงงวด 1Q61 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาหมูและไก่เป็นในประเทศ ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ลงจากเดิม 20.4% โดยปรับลดสมมติฐานราคาขายเป็ดจากเดิม 72 บาท กก. เหลือ 68 บาท และปรับลดปริมาณขาย และ margin (วัตถุดิบที่เพิ่ม เช่น ข้าวโพด) นอกจากนี้ยังบันทึกค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางกฎหมายและที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต จึงปรับลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 6 บาท (เดิม 8.50 บาท) และลดคำแนะนำเป็น Switch (เดิม ซื้อ)
SAPPE (Switch:[email protected]) คาดกำไรปกติงวด 2Q61หดตัว 12% yoy เท่ากับ 141 ล้านบาท ฉุดจากต้นทุนผลิต (ขวดพลาสติก) และค่าใช้จ่ายบริหาร เพิ่มมากกว่ายอดขาย ส่วนแนวโน้มกำไร 2H61 คาดอ่อนตัวต่อqoq เนื่องจากเป็นช่วง Low Season นอกจากนี้ยังเผชิญความเสี่ยงจากแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ขณะที่ราคาตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าหุ้น จึงปรับลดจาก ซื้อ เป็น Swith
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO11750