- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 20 July 2018 00:19
- Hits: 6409
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ต่างประเทศ น้ำมัน ค่อนไปทางบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับเพิ่ม 9.78 จุด ปิดที่ 1635.85 จุด อยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 46.6 พันล้านบาท หลังถ้อยแถลงพาวเวลไม่มีอะไร surprise ปีนี้ยังขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ดาวโจนส์ น้ำมันปรับขึ้น ต่างชาติชะลอการขาย และสถาบันเข้าซื้อหุ้นต่อเนื่อง หุ้นกลุ่มหลักปรับขึ้นดี โดยเฉพาะ PTT, KTC และ IRPC ปรับขึ้นโดดเด่น ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดสูงสุดที่ 1638.52 จุด ด้านผู้ซื้อสุทธิหลักคือ สถาบัน 2.6 พันลบ. หลักทรัพย์ ซื้อเล็กน้อย ด้านผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.6 พันลบ. ต่างประเทศ 1.0 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสรีบาวด์ต่อ ปัจจัยต่างประเทศเป็นบวก ทั้งดาวโจนส์ น้ำมันปรับขึ้น และสถาบันซื้อต่อเนื่อง แต่ดอลลาร์ที่แข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีปรับขึ้น เงินยังไหลออกจาก Emerging Market ถือเป็นปัจจัยลบที่ถ่วงอยู่ จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +18 จุด (7:45 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้นดี ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี SET ปรับลงมามาก จนเริ่มถูก P/E ปี 61 และ 62 เป็น 14.9 และ 13.8 เท่า ตามลำดับ ปันผลสูง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ภาพใหญ่ที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านจนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1620-1660 จุด
Update หุ้นเด่น : BTS – หลังการให้บริการที่สะดุดจากคลื่นความถี่โทรศัพท์เคลื่อนที่เข้าแทรกการเดินรถ แต่ขณะนี้ปัญหาได้คลี่คลายลง กระทบเพียงระยะสั้น และตัวเงินเยียวยาที่ใช้เพียง 20-30 ล้านบาท เทียบกับกำไรหลักปี 60-61 ของ BTS ที่ 1,559 พันล้านบาท เป็นเพียง 1.3%-1.9% จึงเพียงเล็กน้อย ส่วนการลงทุนซื้อเครื่องป้องกันคลื่นคาดว่าเมื่อมีการตัดเป็นค่าเสื่อมราคาก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่มากเช่นกัน หรือทาง suppliers จะออกให้ฟรี ด้านการสูญเสียลูกค้าไปใช้ BEM หรือ เดินทางด้วยวิธีอื่น ก็จะสูญเสียรายได้ไปไม่มาก เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อกลับมาให้บริการได้ปกติ ก็จะกลับมาใช้ BTS เช่นเดิม คงคำแนะนำ ซื้อ BTS ที่ราคาพื้นฐาน 11.00 บาท ประเมินด้วย SOP ประเด็นข่าวบวก คือ อาจจะจับมือกับพันธมิตรรายใหม่ๆเข้าประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินและเจรจากับกทม.รับสัมปทานสายสีเขียวส่วนขยายเพิ่มจากเดิมที่แค่รับบริหารเดินรถ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators กลับเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1640-1650, 1660 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า 1630 จุด
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น SCB, SCC, HANA, IRPC, RS, BJC, BTS ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ CPF,PLANB,BEM หุ้นที่หลุด List TOP และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ PSL, GLOBAL, KBANK, EPG, BDMS
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น ขานรับผลการดำเนินงานสดใส
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,199.29 จุด เพิ่มขึ้น 79.40 จุด หรือ +0.32% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,854.44 จุด ลดลง 0.67 จุด หรือ -0.01% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,815.62 จุด เพิ่มขึ้น 6.07 จุด หรือ +0.22%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงมอร์แกน สแตนลีย์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวปานกลาง
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับเพิ่ม สต็อกน้ำมันเบนซินสหรัฐต่ำกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 68.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 72.90 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีทติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลงเช่นกัน
• ทองคำ : ปรับเพิ่มเล็กน้อย ดอลลาร์แข็งค่ายังคอยสกัด
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 1,227.90 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าและสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำ นอกจากนี้ การที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ยังเป็นปัจจัยที่กดดันให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอ
•/+ Beige Book เศรษฐกิจขยายตัวปานกลาง และตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านต่ำกว่าคาด
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เขตต่างๆส่วนใหญ่รายงานว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง โดยมีเพียงเขตเซนต์หลุยส์เท่านั้นที่รายงานว่าเศรษฐกิจขยายตัวเล็กน้อย นอกจากนี้ เขตส่วนใหญ่รายงานว่าตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว และหลายเขตยังขาดแคลนคนงานที่มีศักยภาพ
# อย่างไรก็ตาม รายงาน Beige Book ซึ่งรวบรวมรายงานภาวะเศรษฐกิจจนถึงวันที่ 9 ก.ค.นั้น ระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตในทุกเขตได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า โดยหลายเขตรายงานว่า ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบัน
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านร่วงลงมากกว่าคาดในเดือนมิ.ย. โดยดิ่งลง 12.3% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.173 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว และเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2559 หลังจากเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.337 ล้านยูนิตในเดือน พ.ค.
•/- พาวเวล สนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
# นายพาวเวลได้กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วเพียงพอที่จะทำให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
# นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลัง,ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค, การลงทุนในภาคธุรกิจ, ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน, การขยายตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ และสภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายภายในประเทศ ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศต่อไปในสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย.61เพิ่มขึ้น
# สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย.61 อยู่ที่ระดับ 91.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 90.2 ในเดือนพ.ค.61 โดยค่าดัชนีฯ สูงสุดในรอบ 42 เดือนนับตั้งแต่เดือนม.ค.58 ซึ่งดัชนีฯ ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าผู้ประกอบการมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลฟุตบอลโลก 2018
+/- ยอดส่งออกรถยนต์ มิ.ย.61 มีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่มูลค่ากลับลดลงเทียบ y-o-y
# สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมิ.ย. 61 ที่ 95,284 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 2.36% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 49,147 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน1.03% เตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายยอดการผลิต ยอดการส่งออก และยอดขายรถยนต์ในประเทศหรือไม่ในปลายเดือนก.ค.นี้
+/- 6 เดิอนแรกปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 12.46%
# ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 19,481,749 คน ขยายตัว 12.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้รวม 1,015,893 ล้านบาท ขยายตัว 15.88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Aspen)
# ผลกระทบ: ระยะนี้หุ้นเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว-เดินทางไม่สดใสนัก เพราะนักลงทุนกังวลจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะหายไปจากไทย หลังจากมีอุบัติเหตุเรือล่มที่จังหวัด ภูเก็ต และมีผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวจีนในจำนวนที่มาก ประกอบกับอยู่ในช่วง Low Season ด้วย ฝ่ายวิจัยฯ DBS คาดว่าจะกลับมากระเตื้องดีขึ้นใน 4Q61 ที่เป็นฤดูกาล High Season และมีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆเกิดขึ้น เช่น Icon Siam เป็นต้น
-/• EGCO-STEC: กรมพลังงานให้กฟผ. และ EGCO ตรวจสอบข่าวเกี่ยวกับ MHPS จ่ายสินบน
# นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประธานคณะกรรมการ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กฟผ. และ EGCO ตรวจสอบข่าวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Mitsubishi Hitachi Power Systems (MHPS) ประเทศญี่ปุ่น จ่ายสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อแลกกับการชนะประมูลโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศไทยในปี 56 ซึ่งตามข่าวว่าเป็นช่วงเวลาที่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอมหน่วยที่ 4 ของ EGCO ในปี 56-57 ซึ่งหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รับสินบนจริง ก็จะลงโทษตามกฏระเบียบ
# อธิบดีกล่าว เบื้องต้นยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนว่า พาดพิง หรือจ่ายสินบนให้ใคร ในโครงการใด แต่หากเป็นการซื้อเครื่องจักรและการก่อสร้าง เป็นเรื่องของผู้รับเหมาดำเนินการ ซึ่งจะนำเข้ามาอย่างไร ทางเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าคงไม่ทราบเรื่อง แต่ก็ให้ทาง กฟผ.และ EGCO ตรวจสอบทั้งหมด หากพบว่าใครทำผิดก็จะลงโทษ (Aspen)
# ผลกระทบ: ข่าวนี้ออกมาในเชิงลบ แต่ล่าสุด EGCO ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว และก่อนหน้านี้ GULF ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องเช่นกัน ในที่สุดต้องติดตามผลการตรวจสอบ
+ THANI ประกาศกำไร 2Q61 น่าประทับใจ (Not Rated)
# กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่สองของปี 2561 มีจำนวน 391.83ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 133.83ล้านบาท หรือร้อยละ 51.87โดยมีรายได้รวมจำนวน 943.62ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 133.32 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.45 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางการเงินมีจำนวน 214.97ล้านบาท ลดลง 12.09ล้านบาท หรือร้อยละ 5.32 จากการจัดหาแหล่งเงินกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อรองรับการให้สินเชื่อของบริษัท สำหรับค่าใช้จ่ายหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญมีจำนวน 114.07 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 32.51 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 22.18 เนื่องจากคุณภาพลูกหนี้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการพิจารณาตั้งสำรองทั่วไปเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเปลี่ยนวิธีการตั้งสำรองตามมาตรฐานการบัญชีใหม่
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11511