- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 18 July 2018 20:02
- Hits: 7450
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ถ้อยแถลงพาวเวลตามคาด ปีนี้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับตัวลงเล็กน้อย 1.62 จุด ปิดที่ 1626.07 จุด อยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายมากขึ้นที่ 48.0 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดสูงสุดที่ 1629.18 จุด แม้ราคาน้ำมันที่ต่ำ กดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตร และรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด พาวเวลในช่วงบ่ายมีข่าวกลุ่มสถาบันการเงินคือ กกบ.เลื่อนการใช้ IFRS 9 ไป 1 ปี คือ 1 ม.ค.63 ยังผลให้มีการซื้อกลับหุ้นกลุ่มธนาคาร สำหรับหุ้น AOT ปรับลงมากต่อ แต่ KTC กลับมาฟื้นตัวสูง ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.3 พันลบ. บัญชีหลักทรัพย์ 0.9 พันลบ. ต่างประเทศ 0.03 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ สถาบัน 2.23 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสรีบาวด์ หลังถ้อยแถลงพาวเวลไม่มีอะไร surprise ปีนี้ยังขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ดาวโจนส์ น้ำมันปรับขึ้น และต่างชาติชะลอการขาย แต่ดอลลาร์แข็งค่า เงินไหลออกจาก Emerging Market เป็นปัจจัยลบ ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +40 จุด น้ำมันล่วงหน้าถอยเล็กน้อย แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไร ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี SET ปรับลงมามาก จนเริ่มถูก ปันผลสูง รวมทั้งสถาบันมีแรงซื้อต่อเนื่อง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ภาพใหญ่ที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ปเศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1620-1650 จุด
Update หุ้นเด่น : BCP – การ IPO หุ้น BBGI เป็น Catalyst ในระยะสั้น – BCP มีแผนนำบริษัทย่อย คือ BBGI เข้าจดทะเบียนใน SET (ปัจจุบัน BCP ถือหุ้น 60% และ KSL ถือ 40%) โดย BBGI ทำธุรกิจไบโอเอทานอล และไบโอดีเซล กำลังการผลิต 1.7 ล้านลิตร/วัน ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จำนวนหุ้น IPO ไม่เกิน 216.6 ล้านหุ้น (30%ของทั้งหมดหลัง IPO) หลัง IPO ทาง BCP จะถือหุ้น BBGI เท่ากับ 42% และ KSL ถือ 28% คาดการณ์กำไรปีนี้ของ BCP จะ -14%YoY แล้วค่อย +10% ในปี 62 ส่วนราคาพื้นฐานเป็น 40.00 บาท ให้อิง P/BV ปีนี้ 1.2 เท่า (+1SD) ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 61 ต่ำเพียง 8.3 เท่า และจะลดลงเป็น 7.7 เท่าปีหน้า คาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้ 6.0% และปี 62 ที่ 6.6% จัดให้เป็นหุ้น Value Play ในกลุ่มพลังงาน แนะนำ ซื้อ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators กลับเป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1630-1640, 1650 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า 1620 จุด
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KBANK, EPG, TOP, BDMS, BEM ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PSL, CPF, TOP, GLOBAL, PLANB หุ้นที่หลุด List TMB, AJ, GFPT และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ KTB, BEC, CPN, KCE, PTL
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
•/- พาวเวล สนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
# นายพาวเวลได้กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วเพียงพอที่จะทำให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
# นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลัง, ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค, การลงทุนในภาคธุรกิจ, ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน, การขยายตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ และสภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายภายในประเทศ ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ
-ดอลลาร์แข็งค่า หลังถ้อยแถลงพาวเวล
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งมากพอ
# ผลกระทบ: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีก 2 ครั้งปีนี้ ส่งผลให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า ทำให้เงินไหลออกจากตลาด emerging market รวมทั้งไทย กลับสู่สหรัฐฯ
+/- รัฐสภาอังกฤษ มีมติเห็นชอบแผน Soft Brexist
# รัฐสภาอังกฤษ มีมติเห็นชอบแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ด้วยคะแนนเสียง 318-285 แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตการเมือง หลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ Brexit หลายคนได้ยื่นหนังสือลาออก เพื่อแสดงจุดยืนประท้วงต่อต้านแผนการดังกล่าว
-จีนเผยตัวเลขเศรษฐกิจ 2Q61 บางรายการอ่อนลง
# สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2561 ขยายตัว 6.7% ซึ่งชะลอตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 6.8%
# สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ขยายตัว 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.ขยายตัว 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วขึ้นจากเดือนพ.ค.ที่ขยายตัวเพียง 8.5%
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับขึ้น สต็อกน้ำมันสหรัฐลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ขยับขึ้น 2 เซนต์ ปิดที่ 68.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือเกือบ 0.5% ปิดที่ 72.6 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) หลังจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากข่าวลิเบียเริ่มกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น ขานรับถ้อยแถลงพาวเวล เศรษฐกิจ-ผลประกอบการสหรัฐแข็งแกร่ง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,119.89 จุด เพิ่มขึ้น 55.53 จุด หรือ +0.22% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,809.55 จุด เพิ่มขึ้น 11.12 จุด หรือ +0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,855.12 จุด เพิ่มขึ้น 49.40 จุด หรือ +0.63%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและสนับสนุนจุดยืนของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
• ทองคำ : ปรับลงแรง เพราะดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 12.4 ดอลลาร์ หรือ 1.00% ปิดที่ 1,227.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. 2560
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้สนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ การที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นติดต่อกันหลายวันทำการ ยังส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• การผลิตภาคอุตสาหกรรม มิ.ย. เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัว
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากร่วงลง 0.5% ในเดือนพ.ค.
# ขณะที่สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัวที่ระดับ 68 ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและภาวะขาดแคลนบ้านในตลาด
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศต่อไปในสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยมิ.ย.61 อยู่ที่ 48.4 เพิ่มจาก 47.7 ในพ.ค.
# โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยในด้านบวก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล, การอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก, สถานการณ์การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี, สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง, ระดับราคาพืชผลทางการเกษตรบางชนิดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของการค้าชายแดนที่ยังคงมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
# ขณะที่ปัจจัยด้านลบ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของไทย, ราคาต้นทุนของผู้ประกอบการยังคงอยู่ในระดับสูง
+/• หุ้นกลุ่มอาหาร และ QSR ตอบรับเชิงลบน้อยลงกับข่าวห้ามนำเข้าและใช้ไขมันทรานส์
# กระทรวงสาธาณสุข ออกประกาศกระทรวง เกี่ยวกับกรดไขมันทรานส์ (trans fat acid) เนื่องจากจะส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ จึงให้อาหารที่มีกรดไขมันทรานส์ เป็นอาหารที่ห้ามผลิตและนำเข้า หรือจำหน่ายใน 180 วัน นับจากวันที่ 11 ก.ค.61
# กรดไขมันทรานส์ หรือ ไขมันพืชเติมไฮโดรเจนบางส่วน (partially hydrogenated oil) เป็นไขมันที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยให้อาหารมีรสอร่อย เก็บได้นาน และประหยัดต้นทุนการผลิตได้ ส่วนใหญ่ไขมันทรานส์เป็นส่วนผสมใน เนยเทียม, ครีมเทียม, มาการีน, น้ำมันปาล์มที่เติมไฮโดรเจน ซึ่งกระทบตรงกับสินค้าประเภท ไก่ทอด โดนัท คุกกี้ เบเกอรี่ มากสุด
# ผลกระทบ: วานนี้ราคาหลักทรัพย์เกี่ยวกับ อาหาร ขนม อาหารจานด่วน (QSR) มีการปรับตัวลงไม่มากแล้ว ต่างจากวันจันทร์ที่เพิ่งประกาศข่าวมีความตื่นตระหนก (panic) เพราะผู้ประกอบการหลายแห่งมีระยะเวลาในการปรับสูตรอาหารภายใน 180 วัน หรือประมาณ 3 เดือน ซึ่งก็น่าจะทันการ แต่อาจจะได้รับผลลบในช่วงสั้นจากสต็อคสินค้าที่เหลืออยู่บ้างหลัง 180 วัน แต่คาดว่าไม่มาก ในกรณีที่หลีกเลี่ยงวัตถุดิบที่มีกรดไขมันทรานส์ ต้องมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่คาดว่าจะผลักบางส่วนให้ผู้บริโภคได้ และชี้แจงว่าที่ราคาสูงขึ้น เพราะปราศจากกรดไขมันทรานส์ ส่งผลดีกับสุขภาพ ก็จะทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงขึ้นได้ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีการศึกษาสูงขึ้น และตระหนักถึงความใส่ใจในสุขภาพ (Health Conscious) ผลกระทบจากข่าวนี้จึงเป็นไปอย่างจำกัด และกระทบต่อพื้นฐานไม่มาก คงคำแนะนำ ให้ทยอยสะสม CENTEL และ MINT
+/• กกบ.มีมติเลื่อนบังคับใช้มาตรฐาน IFRS9 เป็นเวลา 1 ปีไปเป็น 1 ม.ค.63
# การเลื่อน IFRS9 เป็นผลดีเล็กๆ ทำให้การตั้งสำรองฯผ่อนคลายลง และยืดหยุ่นได้มากขึ้น แต่ในที่สุดก็ต้องตั้งอยู่ดี ทำให้หลายแบงค์น่าจะยังเดินหน้าสำรองสูงในปีนี้ นอกจากนั้นกลุ่มแบงค์ยังมีแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูง ค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้น, ต้องลงทุนในระบบดิจิตอล, มีคชจ.ในการปิดสาขา, ผลกระทบจากยกเลิกค่า Fee ธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ แต่การเลื่อนเวลาออกไปจะเกิดประโยชน์กว่าปัจจุบัน หาก Regulator มีการให้แนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น
# คำแนะนำ: ให้ BBL เป็นหุ้น Top Picks - คาดว่าธนาคารจะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมผ่านออนไลน์น้อยกว่าธนาคารอื่น และ BBL มีโอกาสเติบโตได้ดีในช่วงการลงทุนฟื้นตัว เพราะมีสัดส่วนสินเชื่อภาคธุรกิจสูง ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 218.00 บาท
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11436