- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Saturday, 17 May 2014 21:40
- Hits: 3325
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ซื้อเมื่อยืนเหนือ 1400...ต่ำกว่ารอซื้อ 1370, 1350-1340
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
• ภาพตลาดวันก่อน : SET Index ปิดอ่อนตัวลงเล็กน้อย 0.82 จุด มายัง 1395.21 มูลค่าซื้อขายประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยหลักมาจากแรงขายทำกำไร และความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แรงขายไม่ได้มากเพราะยังมีความหวังว่าจะมี Fund Flow กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีของตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงเอเชียและไทยด้วย ทั้งนี้หุ้น BH ได้รับคัดเลือกเข้าไปคำนวณใน MSCI Global Standard Indexes (ไม่มีหุ้นคัดออก) และBJCHI, MEGA, NYT และ TTCL ได้รับคัดเลือกเข้าไปคำนวณใน MSCI Global Small Cap Indexes (หุ้นที่คัดออกคือ BH-ย้ายเข้า StandardIndexes, GSTEL, GRAMMY, SITHAI, TUF, UMI) จะมีผลตั้งแต่ 30 พ.ค.นี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 596 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 958ล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
• ปัจจัยและกลยุทธ์ : Sentiment ตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นลบ เนื่องจากแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นหลักๆ เช่น สหรัฐ รวมถึง Sell on fact หลังจบรายงานผลประกอบการ 1Q57 ส่วนในประเทศยังติดตามสถานการณ์การเมือง ซึ่งขณะนี้มีเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้นในหลายจุด และดูเหมือนว่าในช่วงวันที่ 17-18-19 พ.ค.นี้ จะเข้มข้นมากขึ้น หลังจากที่แกนนำกลุ่มกปปส.และนปช.ประกาศยกระดับเป็นการชุมนุมใหญ่ โดยกลุ่มกปปส.ยังยืนยันให้มีรัฐบาลคนกลางมาปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง ขณะที่กลุ่มนปช.ไม่ยอมรับนายกฯ มาตรา 7 และคณะรัฐมนตรีคนกลาง ส่วนการหารือระหว่างก.ก.ต.กับรัฐบาลเรื่องการเลือกตั้งทั่วไปยังไม่มีความคืบหน้า และมีความเสี่ยงว่าการเลือกตั้ง 20 ก.ค.57 อาจจะต้องเลื่อนออกไป กลยุทธ์หลัก เป็นการซื้อตามด้วยค่าบวกหรือหากดัชนียืนเหนือ 1400 จุดไม่ได้ แนะนำให้รอซื้ออ่อนตัวที่แนวรับ 1370, 1350-1340 จุด แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1400, 1415 จุด โดยยังคงเน้นการลงทุนไปยังหุ้นปัจจัยพื้นฐานมั่นคง ฐานะการเงินดี ธุรกิจฟื้นตัวเร็ว และมีปันผล ซึ่งหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น KCE
Fundamental Pick
KCE แนะนำซื้อปิด 34.75 บาท ราคาพื้นฐาน 39.00 บาท
• กำไรสุทธิ 1Q57 ออกมา 439 ล้านบาท (+62%YoY) ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประมาณการไว้4% แนวโน้มยังไปได้ดี โดยได้รับผลดีจากวัฏจักรธุรกิจขาขึ้น การฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจยานยนต์ในยุโรปทำให้มีอุปสงค์เข้ามามากขึ้น การขยายกำลังการผลิตใหม่เฟส 1 ที่ลาดกระบังคาดว่าจะเริ่มได้ 4Q57 ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้และกำไรต่อในปี 58 ทาง DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 57-58 ของ KCE จะเติบโต 15% และ 16% ตามลำดับ การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะซื้อลงทุน ราคาพื้นฐาน DBSV เท่ากับ 39 บาท ทั้งนี้คาดว่า KCE จะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศจำกัด เพราะเน้นการส่งออก รวมทั้งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรปซึ่งเป็นลูกค้าหลัก
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+/- สหรัฐ : ตัวเลขเศรษฐกิจ Mixed … กังวลการฟื้นตัวของภาคที่อยู่อาศัย
+ ISM ระบุว่าดัชนีการผลิตหรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เพิ่มขึ้นแตะ 54.9 จาก 53.7 ในเดือนมี.ค. โดยเป็นการการขยายตัวเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ทั้งนี้ดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวโดยทั่วไปของภาคการผลิต
+ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 พ.ค.ของสหรัฐ ลดลง24,000 ราย สู่ระดับ 297,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี และตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 320,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
• ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 10 เดือน และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำหนดไว้ที่ 2%
- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดการผลิตของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค หดตัวลง 0.6% ในเดือนเม.ย.57 (ลดลงมากกว่าคาดการณ์ที่ 0.1%) ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตปรับตัวลดลง 0.7% สู่ระดับ 78.6%เนื่องจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ของสหรัฐได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิต
- สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 45 ในเดือนพ.ค.57 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน (แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้น) โดยดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่ากลุ่มผู้สร้างบ้านมีมุมมองเชิงลบต่อตลาดมากกว่าในเชิงบวก
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรง เพราะกังวลผลประกอบการ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,446.81 จุด ร่วงลง 167.16 จุด หรือ -1.01% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,069.29 จุด ลดลง 31.34 จุด หรือ -0.76% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,870.85 จุดลดลง 17.68 จุด หรือ -0.94% เพราะกังวลผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มค้าปลีก เช่น วอลมาร์ท, โคห์ล คอร์ป รวมทั้งหุ้นบริสทอล-เมเยอร์ สควิบบ์ ร่วงลงแรงถึง6.1% หลังบีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวลงสู่ระดับ"market perform" จากระดับ "outperform" และหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ลดลง 1.7%เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเรียกคืนรถยนต์ของบริษัท
• สัญญาน้ำมันดิบแกว่งแคบ
• สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวลง 87 เซนต์ ปิดที่ 101.5 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ ปิดที่ 110.44ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 พ.ค.เพิ่มขึ้น 947,000 บาร์เรล แตะที่ 398.5 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลง
- สัญญาทองคำ COMEX ร่วงแรง
- สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 12.3ดอลลาร์ หรือ 0.94% ปิดที่ 1293.6 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยที่กดดัน คือ ค่าเงิน US$ ที่แข็งค่าขึ้นและคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงทยอยลด QE ต่อในการประชุมครั้งต่อไป
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
+ BH เข้า MSCI Global Standard Indexesส่วน BJCHI, MEGA, NYT และ TTCL เข้าGlobal Small Cap Indexes มีผลตั้งแต่ 30พ.ค.นี้
+ BH ได้รับคัดเลือกเข้าไปคำนวณใน MSCI Global Standard Indexes โดยไม่มีหุ้นที่คัดออกและ BJCHI, MEGA, NYT และ TTCL ได้รับคัดเลือกเข้าไปคำนวณใน MSCI Global SmallCap Indexes โดยมีหุ้นที่คัดออกจากการคำนวณรอบนี้ คือ BH (ย้ายเข้าไปใน StandardIndexes), GSTEL, GRAMMY, SITHAI, TUF และ UMI จะมีผลตั้งแต่ 30 พ.ค.นี้
ความเห็น Retail Research : การคัดเลือกหุ้นเข้าไปคำนวณใน MSCI เน้นเรื่องขนาดของMarket cap และสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวก็เป็นตัวสะท้อนราคาและปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในทางอ้อม เราแนะนำซื้อ BH, TTCL และ TUF (คาดว่าผลประกอบการปี 57 จะ Turnaround ชัดเจน) ส่วน BJCHI, MEGA, NYT, GSTEL,GRAMMY, SITHAI และ UMI นั้นไม่ได้ทำการวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐาน
+ ธุรกิจอาหาร : กำไรเติบโตดีใน 1Q57 และทั้งปี 57 ขยายตัวแข็งแกร่ง
+ ธุรกิจอาหารรายงานกำไรสุทธิ 1Q57 ออกมาดี โดยกำไรสุทธิของ CPF, GFPT, TUF และSORKON เติบโตก้าวกระโดด โดยหลักมาจากรายได้ทั้งจากการขายในประเทศและส่งออกเพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นตามแรงกดดันด้านวัตถุดิบที่น้อยลงและราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้นแนวโน้ม 2Q57 ยังไปได้ดี แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น กากถั่วเหลือง และข้าวโพดจะสูงขึ้น แต่บริษัทมีสต็อกวัตถุดิบอยู่ประมาณ 2-3 เดือน จึงกระทบมาร์จิ้นไม่มาก ขณะเดียวกันก็มีการต่อรองกับคู่ค้าในต่างประเทศเพื่อปรับเพิ่มราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้ปรับราคาในช่วง 3Q57 ประกอบกับปกติแล้วยอดส่งออกของ 3Q จะเป็น High seasonดังนั้นจึงคาดว่าผลประกอบการในอีก 6 เดือนจากนี้ไปยังคงแข็งแกร่ง ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อลงทุนใน CPF (ราคาพื้นฐาน 33 บาท), GFPT (ราคาพื้นฐาน 16.40 บาท), TUF (ราคาพื้นฐาน 84 บาท) และ SORKON (ราคาพื้นฐาน 78.65 บาท)
+/• กำไรสุทธิ 1Q57 ที่รวบรวมได้ล่าสุด+22%QoQ (-13%YoY) ดีกว่าคาด...แต่คงEPS Growth ตลาดปี 57F ไว้ที่ 9% เพราะประเมินว่ากำไร 2Q-3Q57 มีโอกาสขยายตัวน้อยลง ... ยังคง SET Index Target ปีนี้ไว้ที่
+ บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการออกมาแล้วราว 80% ของจำนวนทั้งหมด ซึ่งพบว่ากำไรสุทธิเติบโตดีกว่าคาดที่ 22%QoQ (-13%YoY) ทั้งนี้เพราะหลายธุรกิจยังมีแรงส่งที่ดี มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากปลายปีก่อนเข้ามาช่วยหนุน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายอุตสาหกรรมมีความกังวลว่าผลประกอบการ 2Q57 จะอ่อนลงหลังจากคำสั่งซื้อและยอดขายอ่อนตัวลง โดยเฉพาะรายได้ในประเทศที่ถูกกระทบจากเศรษฐกิจซบเซาและการเมืองไม่แน่นอน1455 จุด ถ่วงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Neutralสำหรับทั้งปี 57 เรายังคงประมาณการ EPS Growth ของตลาดหุ้นไทยไว้ที่ 9% โดยตัวเลขที่ดีกว่าคาดใน 1Q57 จะช่วยชดเชยกับการอ่อนตัวที่อาจจะมากกว่าคาดของ 2Q-3Q57
• ยังคงระดับ SET Index เป้าหมายไว้ที่ 1455 จุด ซึ่งอิงกับ P/E ปี 57 ที่ 14.8 เท่า (เป็นระดับMid-High ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีและต่ำกว่าระดับ High อยู่ 6.7%) โดยมี Upside จากระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ 4.3% ถ่วงน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็น Neutral สำหรับปัจจัยหลักที่จับตา คือ สถานการณ์การเมือง, ทิศทางเศรษฐกิจ, โอกาสในการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของไทย และ Fund Flow