WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
“ผ่อนคลายกังวล...จีนอาจสงบศึก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index รีบาวด์ 4.30 จุด ปิดที่ 1640.93 จุด อยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 46.9 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดสูงสุด 1646.12 จุด แม้มีปัจจัยลบคือ ตัวเลข PPI สหรัฐออกมาสูงกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ราคาน้ำมันร่วงแรง และข่าวเดิมสหรัฐเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่ม และดอลาร์แข็งค่า (เงินไหลออก) หุ้นกลุ่มครอบครัว PTT ปรับลงตามราคาน้ำมัน แต่กลุ่มธนาคารที่ใกล้ประกาศผลการดำเนินงานช่วยหนุนตลาด ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย 0.6 พันลบ. และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.06 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 0.6 พันลบ. และสถาบัน 0.06 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสปรับขึ้นต่อ หลังจากจีนส่งสัญญาณอาจเจรจากับสหรัฐเพื่อสงบศึก เพราะยังไม่มีมาตรการตอบโต้ออกมา แต่ยังต้องติดตาม คือวางใจไม่ได้เสียทีเดียว อีกทั้งมีปัจจัยลบราคาน้ำมันปรับลง ดอลาร์แข็งค่า (เงินไหลออก) หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐจะออกมาดี SET ลงมามาก จนเริ่มถูก ปันผลสูง รวมทั้งสถาบันมีแรงซื้อต่อเนื่อง ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับขึ้นกันเป็นส่วนใหญ่ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +62 จุด น้ำมันล่วงหน้าปรับลง วันนี้ SET ขึ้นไปได้ แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไร ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1670 จุด
  Update หุ้นเด่น : WHA –คาดว่ากำไรหลักปีนี้เป็น 4.0 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่และโตถึง 32% y-o-y เพราะขายสินทรัพย์เข้า REIT สูงขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายลดและกำไรส่วนได้เสีย WHAUP เพิ่ม ล่าสุดปรับประมาณการปีนี้และปีหน้าดีขึ้นในอัตรา 21%/20% สะท้อนเรื่องข้างต้นที่ดีกว่าคาด คาดว่ากำไรรายไตรมาสจะไปสูงสุดใน 4Q61 เพราะมีการขายสินทรัพย์เข้า REIT จำนวนมากให้กับ WHART และ HREIT คงแนะ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 4.72 บาท ประเมินด้วยส่วนลด 10% จากคาดการณ์ NAV ที่ 5.24 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 20%
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators กลับเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1650-1660, 1670 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า 1630 จุด
  สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น EPG, CK, DELTA, BANPU, TU,BEC, WICE ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ KTB, GULF, HMPRO หุ้นที่หลุด List TCAP, AEONTS และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ BEM, STEC, BGRIM, GFPT, WORK, MINT
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/• จีนส่งสัญญาณสงบศึก แต่ยังต้องรอดูท่าที
  # นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากจีนยังไม่ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ แม้ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็ตาม
  # นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยนายหวัง ชูเหวินรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
• จีนเห็นว่ายังไม่มีทางเลือก เพียงใช้มาตรการจำเป็นเพื่อตอบโต้
  # กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกันว่า รัฐบาลจีนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อตอบโต้ จีนขอประท้วงการตัดสินใจของสหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่นี้ โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า การกระทำที่ไม่มีเหตุของสหรัฐนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และจีนจะนำเรื่องดังกล่าวฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO)
+ "มนูชิน" เผยจีนต้องให้คำมั่นเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจก่อนสหรัฐ-จีนเปิดฉากเจรจายุติสงครามการค้า
  # นายมนูชินยังกล่าวด้วยว่า ตนเองและคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมที่จะเจรจาการค้ากับจีน พร้อมระบุว่า สหรัฐไม่มีจุดประสงค์ที่จะสนับสนุนนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้า แต่สนับสนุนนโยบายการค้าที่เป็นธรรม
  # ถ้อยแถลงของนายมนูชินมีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนได้ส่งสัญญาณยุติสงครามการค้า ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่ โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่าจีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
-ตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงาน และ CPI สหรัฐยังแรง
  # จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 18,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.
  # ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% แต่หากเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 2.9% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2555
+ จับตาประกาศผลประกอลการบริษัทขนาดใหญ่ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ค
  # นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% หลังจากที่พุ่งขึ้น 24% ในไตรมาสแรก
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับลง ลิเบียกลังมาส่งออก
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 5 เซนต์ หรือประมาณ 0.09% ปิดที่ 70.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 74.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยตลาดยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ลิเบียเริ่มกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง หลังจากที่ปิดสถานีส่งออกน้ำมัน 4 แห่งในช่วงก่อนหน้านี้
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น หุ้นเทคโนดีดแรง และสหรัฐ-จีน ส่งสัญญาณสงบศึก
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,924.89 จุด เพิ่มขึ้น 224.44 จุด หรือ +0.91% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,798.29 จุด เพิ่มขึ้น 24.27 จุด หรือ +0.87% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,823.92 จุด เพิ่มขึ้น 107.30 จุด หรือ +1.39%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนส่งสัญญาณยุติสงครามการค้า ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่
• ทองคำ : ปรับขึ้น วิตกสงครามการค้าหนุน
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 2.2 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 1,246.6 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศสัปดาห์นี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเป้าส่งออกปีนี้เป็น 9% จากเดิม 8%
  # นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเป้าหมายมูลค่าการส่งออกไทยในปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9% จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8% เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น และการทำงานอย่างหนักร่วมกับผู้ส่งออกในการผลักดันการส่งออก แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องสงครามการค้าโลกก็ตาม
+ ธนาคารแห่งประเทศไทย เชื่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเห็นแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
  # ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงแนวทางการสร้างการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยล่าสุดเป็น 4.4% สอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ สูงถึง 4.8% โดยเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ
+ หุ้นใหม่เข้าตลาดวานนี้ TEAMG (ตลาด SET) เหนือจอง ปิดที่ 2.70 บาท
  # บมจ. ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ (TEAMG) ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรตั้งแต่การศึกษา ออกแบบ จัดทำรายงานบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึงการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
  # TEAMG เข้าซื้อขายใน SET ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจบริการเฉพาะกิจ วันที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและวันที่เริ่มทำการซื้อขายในวันที่ 12 ก.ค.61 มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. จำนวน 680 ล้านหุ้น และหุ้นชำระแล้ว 680 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 340 ล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.42 บาท ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค.61
  # ฝ่ายวิจัยฯ DBS ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ (Not Rated) วานนี้สูงกว่าจอง 11.5% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และมีราคาปิดต่ำสุดและสูงสุดที่ 2.62-3.02 บาท ตามลำดับ ถือว่าเหวี่ยงตัวแรง
-/• AOT: คาดรับผลกระทบทัวร์จีน เรื่องอุบัติเหตุ เป็นเพียงระยะสั้น
  # นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า กรณีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตจำนวนมากในเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตเมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมานั้น อาจเกิดผลกระทบระยะสั้น 2-3 เดือนต่อกรุ๊ปทัวร์จีนที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
  # อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ยังอยู่ในข่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) ดังนั้น จะต้องติดตามในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ ที่เข้าสู่ตารางบินฤดูหนาวว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะลดลงหรือไม่ หากจำนวนเที่ยวบินจากจีนลดลงทั้งในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ก็จะมีหลายสายการบินรอเข้ามาแทนที่ในตารางการบิน ปัจจุบัน AOT มีจำนวนผู้โดยสารจากจีนมีสัดส่วนสูงสุดที่ 26% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 130 ล้านคนรวมทั้ง 6 ท่าอากาศยาน รองลงมาเป็นผู้โดยสารไทย 18%
  # ผลกระทบ: คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น ทีมกลยุทธ์แนะนำให้รอซื้ออ่อนตัว ที่ราคาพื้นฐาน 75.00 บาท
+/• KTC: ประกาศวันใช้พาร์ใหม่แล้ว คือ วันนี้ 13 ก.ค.61
  # ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) ของบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะมีทำการซื้อขายพาร์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.61
  # ผลกระทบ: หากใช้ราคาปิดวานนี้ที่ 354.00 บาท (-0.8%) เมื่อถึงวันใช้พาร์ใหม่ราคาหุ้นจะปรับลงเป็น 35.40 บาท แต่จำนวนหุ้นของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ความจริงการแตกพาร์ไม่ทำให้ราคาพื้นฐานเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นดีขึ้น ราคาหุ้น KTC ดีดตัวขึ้นสูงมาก่อนหน้าแล้ว จึงอาจต้องระมัดระวังว่าเมื่อใช้พาร์ใหม่แล้ว อาจกลับไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้แรง ก็เนื่องจากมีการเก็งกำไรมาก่อนหน้าส่วนหนึ่งแล้ว
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11236

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!