- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 12 September 2014 16:11
- Hits: 2189
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อ/ถือต่อด้วยค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : NOBLE, PF (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ภาพตลาดวันก่อน : อ่อนลงต่อเล็กน้อย SET Index ปิดลดลง 1.26 จุด มาที่ 1580.87 โดยเป็นการเลือกซื้อหุ้นหลักในบางกลุ่ม เช่น ADVANC,TRUE, PTT, AOT, CK, SPCG เป็นต้น นักลงทุนต่างประเทศ พอร์ตบล. และรายย่อยขายสุทธิ แต่กลุ่มละ 100 กว่าล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศเป็นซื้อสุทธิ 462 ล้านบาท
ปัจจัยและกลยุทธ์ : ปัจจัยที่จับตา คือ การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 12 ก.ย.นี้ ซึ่งมีหลายประเด็นที่ติดตามกัน เช่น การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน (การขึ้นราคา LPG, NGV, การโอนท่อก๊าซของ PTT), การปรับเปลี่ยนเรื่องภาษี (การเก็บภาษีมรดก), การยกเลิกกองทุน LTF หักภาษีเมื่อหมดอายุโครงการในปี 59 เป็นต้น ส่วนในสัปดาห์หน้าเป็น การประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งตลาดติดตามใกล้ชิดว่าเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไร สำหรับ Theme การลงทุน ในวันนี้เรามองไปที่กลุ่มธุรกิจเกษตร โดยเฉพาะไก่ส่งออก ซึ่งมีข่าวดีว่ากระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ได้อนุมัติให้นำเข้าไก่แปรรูปจากไทยได้แล้ว จากที่ไม่เคยนำเข้ามาก่อน และมีลุ้นว่าในปี 58 เกาหลีใต้จะอนุมัติให้นำเข้าไก่สดแช่แข็งจากไทยได้หลังยกเลิกไปเมื่อมีปัญหาหวัดนก จากปัจจุบันที่นำเข้าเฉพาะไก่แปรรูป นอกจากนั้นไก่ส่งออกไปตลาดหลักคือยุโรปและญี่ปุ่นยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ยกเลิกนำเข้าจากจีนเพราะมีปัญหาด้านความปลอดภัย หุ้นเด่นคือ GFPT (ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 23 บาท) และ CPF (ให้ราคาพื้นฐาน 33บาท) นอกจากนั้นกลุ่มค้าปลีกก็มีแนวโน้มดี หลังจากเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นพลิกฟื้น รวมทั้งกำลังเข้าสู่เทศกาลจับจ่ายใช้สอยใน 4Q ด้วย หุ้นที่เราชอบ คือ CPALL (ราคาพื้นฐาน 48 บาท – อยู่ระหว่างปรับปรุง) และ MC (ราคาพื้นฐาน 24.10 บาท) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น CPF
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1575 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1550, 1520 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1590-1600 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ THREL, SITHAI, GLOW, IVL, TWZ, AIT, GFPT, TWP, TTA, AH,INET, TUF (สีน้ำเงิน คือ หุ้นที่เข้ามาใหม่ใน List) ส่วนหุ้นที่แนะนำและปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าหาจังหวะ Take Profit (สำหรับการลงทุนรอบสั้น) คือAQ, WIIK, IFEC, CHG
Fundamental Pick
CPF แนะนำซื้อราคาปิด 31.25 บาท เป้าหมาย 33 บาท
* CPF ได้ประโยชน์จากการที่ 6 โรงงานของบริษัทสามารถส่งออกไก่แปรรูปไปฟิลิปปินส์ได้ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนก.พ.58 เป็นต้นไป และมีโอกาสขยายธุรกิจในรัสเซียมากขึ้น หลังประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ลงนามกฤษฎีกาสั่งห้ามหรือจำกัดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากบรรดาประเทศที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรกับรัสเซีย โดยมีผลบังคับใช้ทันที และอาจมีการทบทวนในอนาคต ทั้งนี้ในปี 56 บริษัท CPF Investment Limited (CPFI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CPF ได้ลงทุนในหุ้นสามัญของ Russia Baltic Pork Invest ASA (RBPI)ประกอบธุรกิจสุกรในเขต Kaliningkrad, Nizhny Novgorod, และ Penza ประเทศรัสเซียเนื่องจากผู้บริหารมองว่าธุรกิจสุกรในประเทศรัสเซียเป็นการต่อยอดธุรกิจอาหารสัตว์ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว โดยมีกำลังการผลิตอาหารสัตว์ 2.4 แสนตันต่อปี
* แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 33 บาท โดย CPF เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นกลุ่มอาหารของเรา แนวโน้มผลประกอบการ 3Q57 ไปได้ดี โดยราคาอาหารสัตว์ในประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ราคาวัตถุดิบไม่ได้กดดันมากช่วยหนุนผลประกอบการ ขณะที่ธุรกิจกุ้งค่อยๆ กระเตื้องขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ธุรกิจต่างประเทศมีการฟื้นตัวดีขึ้น เราคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 57-58 จะเติบโตแข็งแกร่ง 45% และ 35% ตามลำดับ
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
- ตะวันออกกลาง : สหรัฐมีแผนจัดการกับกลุ่ม IS เพื่อปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรง
* ประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐแถลงทางโทรทัศน์เกี่ยวกับแผนการที่จัดการกับกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (IS) โดยผู้นำสหรัฐให้คำมั่นว่า "จะไม่ลังเล" ที่จะดำเนินการต่อกลุ่ม IS ในซีเรีย โดยนายโอบามาระบุว่า สหรัฐจะเป็นผู้นำในการประสานความร่วมมือในวงกว้างเพื่อปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรง ขณะที่เน้นย้ำว่ากองกำลังทหารของสหรัฐจะไม่เข้าร่วมในการสู้รบในต่างประเทศและเขาเตรียมที่จะอนุมัติปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่ม IS ในซีเรีย นอกเหนือจากในอิรักซึ่งเครื่องบินของสหรัฐได้ทิ้งระเบิดถล่มกลุ่มดังกล่าวนับตั้งแต่เดือนส.ค.
•/- สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานแย่กว่าคาดเล็กน้อย จับตาการประชุมเฟด 17-18 ก.ย.นี้
* กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 6ก.ย.ปรับตัวขึ้น 11,000 ราย แตะที่ 315,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 300,000 ราย โดยข้อมูลด้านแรงงานล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง
* นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า (17-18 ก.ย.) อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หลังจากมีกระแสคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดติดต่อกันหลายวันในตลาดการเงิน
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : แกว่งแคบ กังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลาง & รอผลประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
* นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา ออกแถลงการณ์ว่าจะจัดการกับกลุ่ม IS ในซีเรีย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลแรงงานที่ซบเซาของสหรัฐด้วย ปิดตลาดดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่17,049.00 จุด ลดลง 19.71 จุด หรือ -0.12% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,591.81 จุด เพิ่มขึ้น 5.29จุด หรือ +0.12% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,997.45 จุด เพิ่มขึ้น 1.76 จุด หรือ +0.09%
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับเพิ่มขึ้น
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 92.83 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ ปิดที่98.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เริ่มส่งสัญญาณรุนแรงมากขึ้น
- สัญญาทองคำ COMEX : อ่อนตัวต่อ
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 6.3ดอลลาร์ หรือ 0.51% ปิดที่ 1,239 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และการคาดการณ์ว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอาจจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2558 เป็นปัจจัยกดดันสัญญาทองคำ
ปัจจัยในประเทศ
+ เร่งเบิกจ่ายงบค้างท่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น & จะออกกฎหมายภาษีใหม่ (ภาษีมรดกและภาษีที่ดิน & สิ่งปลูกสร้าง)
* เร่งเบิกจ่ายงบค้างท่อราว 3 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ในวันที่ 15ก.ย.57 จะมีการประชุมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลังเพื่อมอบนโยบายการทำงาน ซึ่งทางผู้อำนวยการสศค.กล่าวว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ไม่กระทบต่อฐานะการคลังของประเทศ คือ ระยะเวลาที่เหลือของปี 57 ถึงครึ่งแรกของปี 58 ได้แก่การเร่งเบิกจ่ายงบค้างท่อ ซึ่งสำนักงบประมาณรายงานว่ามีงบค้างท่อรอการเบิกจ่ายอยู่ 3.04แสนล้านบาท ส่วนหลังกลางปี 58 ไปแล้วจะใช้การกระตุ้นผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
* แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กฎหมายภาษีที่จะเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ คือภาษีมรดก และภาษีที่ดิน & สิ่งปลูกสร้าง โดยจะจัดเก็บภาษีมรดกจากผู้รับทรัพย์สินขึ้นทะเบียนในอัตรา 10% ของมูลค่าที่เกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนภาษีที่ดิน & สิ่งปลูกสร้างจะนำมาใช้แทนพ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน & พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ โดยเป็นการกำหนดเพดานภาษีให้มีอัตราสูงขึ้น (เบื้องต้นระบุว่าอัตราภาษีที่ดิน & สิ่งปลูกสร้างที่อยู่อาศัยและที่ดินเพื่อการเกษตรจัดเก็บอัตราไม่เกิน 0.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ที่ดินเชิงพาณิชย์อัตราไม่เกิน 1%และที่ดินว่างเปล่ามีเกิน 2% เป็นต้น)
+ การปรับขึ้นค่าแท็กซี่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้า & รถไฟใต้ดินมากขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับ BTS, BTSGIF และ BMCL
* เครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ ได้ยื่นหนังสือของขึ้นค่าแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG และ NGV ภาคขนส่ง รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้นในขณะที่อัตราค่าโดยสารแท็กซี่ไม่ได้ปรับขึ้นมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว โดยขอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาการปรับขึ้นค่าโดยสารให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ในปัจจุบันเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีจำนวนแท็กซี่กว่า 8 หมื่นคัน
* ความเห็น DBS Retail Research : เราเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราค่าแท็กซี่ในกรุงเทพฯ จะผลักดันให้ประชาชนหันไปใช้บริการรถขนส่งมวลชนประเภทอื่นมากขึ้นโดยเฉพาะรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นบวกกับ BTS, BTSGIF และ BMCL
+ ธุรกิจไก่ส่งออกของไทยยังสดใส รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศถึงกลางปี 58 แล้วล่าสุด CPF ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไก่ปรุงสุกไปฟิลิปปินส์ได้แล้ว...แนะนำซื้อ GFPTและ CPF
* ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า ทางกระทรวงฯได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ว่าอนุญาตให้ 7 โรงงานของไทยส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุกเข้าประเทศฟิลิปปินส์ได้ เริ่มตั้งแต่ก.พ.58 โดย 6 โรงงานเป็นของเครือ CPF และอีก 1 โรงงานเป็นของบริษัทคาร์กิลล์ มีทส์ (ไทยแลนด์) ทั้งนี้ช่วงแรกเป็นการรับรองโรงงานแบบปีต่อปี เพราะเพิ่งเริ่มต้นในขณะที่ใบรับรองการนำเข้าจากญี่ปุ่นจะมีระยะเวลา 2 ปี
* ความเห็น DBS Retail Research : นับเป็นครั้งแรกที่ไทยจะส่งออกไก่ปรุงสุกไปประเทศฟิลิปปินส์ ถึงแม้ว่าจะเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก (เพราะตลาดส่งออกไก่หลักของไทยประมาณ90% ยังเป็นตลาดยุโรปและญี่ปุ่น) แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้ประเทศอื่นๆ ที่ยังไม่นำเข้าไก่จากไทยมีโอกาสจะนำเข้ามากขึ้น ในวงการไก่ส่งออกประเมินว่าในปี 58 อาจมีข่าวดีว่าเกาหลีใต้อาจจะเปิดตลาดให้ไทยสามารถส่งออกไก่สดแช่แข็งเข้าไปได้ หลังจากญี่ปุ่นได้อนุมัติไปแล้วในปลายปี 56 และไทยเริ่มส่งออกไก่แช่แข็งไปญี่ปุ่นตั้งแต่ 1Q57 เป็นต้นมา สำหรับการส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นและรัสเซียมีแนวโน้มดีมาก โดยเป็นผลจากการที่จีนมีปัญหาความไม่ปลอดภัยทางด้านอาหาร ทำให้ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าไก่แปรรูปจากไทยเข้าไปแทน และคาดว่าจะนำเข้าทดแทนเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปี ด้านรัสเซียก็แบนการนำเข้าไก่จากสหรัฐและยุโรปเพราะมีปัญหาด้านการเมือง จึงหันมานำเข้าไก่จากไทยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีข่าวว่าผู้ประกอบการไทยรับคำสั่งซื้อไก่จากต่างประเทศไปถึงกลางปี 58 แล้ว... เป็นข่าวบวกกับ GFPT (ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 23 บาท) และ CPF (ราคาพื้นฐาน 33 บาท) ซึ่งทาง DBS แนะนำซื้อลงทุนทั้งสองบริษัท
***ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Industry Focus วันนี้***
+ TMB : มูดีส์ฯ ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือเป็น Baa2 (จากเดิม Baa3) และให้แนวโน้มมีเสถียรภาพ
* TMB ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์(Moody's) จาก Baa3 มาอยู่ที่ Baa2 พร้อมกับแนวโน้ม "มีเสถียรภาพ" โดยมูดี้ส์ฯ ให้เหตุผลถึงการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ว่าเป็นผลมาจากสถานะความเสี่ยง (Risk Profile)ของธนาคารที่ดีขึ้น สะท้อนให้เห็นได้จากปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ลดลง และระดับความสามารถในการรองรับความเสียหาย (Loss Absorbing Buffer) ที่ดีขึ้น ทั้งในแง่ของเงินกองทุนและเงินสำรองหนี้สูญ
* ผู้บริหาร TMB กล่าวว่าธนาคารสามารถลดปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และล่าสุดในไตรมาส 2/57 มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 เทียบกับร้อยละ 14.3 เมื่อสิ้นปี 51 และมีอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Coverage Ratio) ที่ร้อยละ 143 ในสิ้นไตรมาส 2/57 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 66 ในสิ้นปี 51 ในส่วนของความเพียงพอของเงินกองทุนก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดี โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) อยู่ที่ร้อยละ 15.4 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ร้อยละ 10.7 ณ สิ้นไตรมาส 2/57 หรือที่ร้อยละ 11.1 หากรวมกำไรรอบครึ่งปี 57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ที่ร้อยละ 8.5 และร้อยละ 6.0 ตามลำดับ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]