- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 July 2018 18:20
- Hits: 2348
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“SET มีแรงลบ สหรัฐเก็บภาษีจีนเพิ่ม-ดอลลาร์แข็ง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ปรับขึ้นแรงต่อถึง 20.64 จุด ปิดที่ 1643.60 จุด อยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายสูงขึ้นที่ 53.4 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดสูงสุดเป็น 1643.60 จุด ถือว่าปิดใกล้เคียง ปัจจัยบวกคือ คาดการ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐจะออกมาดี สอดคล้องกับตัวเลขจ้างงานที่ออกมามาก รวมทั้งดาวโจนส์ ราคาน้ำมันปรับขึ้น และความกังวลสงครามการค้ารับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว กลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่น คือ กลุ่มหลักๆ เช่น พลังงานปิโตรเคมี ธนาคาร และวัสดุก่อสร้าง ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 4.2 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ รายย่อย 2.0 พันลบ. ต่างประเทศ 1.4 พันลบ. และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.8 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสผันผวนสูง จากข่าวสหรัฐเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่ม และดอลาร์แข็งค่า (เงินไหลออก) แต่ปัจจัยบวกที่ค้ำอยู่คือ การคาดการ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐจะออกมาดี สอดคล้องกับตัวเลขจ้างงานที่ออกมามาก ดาวโจนส์ ราคาน้ำมันปรับขึ้น และความกังวลสงครามการค้ารับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว รวมทั้งสถาบันมีแรงซื้อต่อเนื่อง ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับลงกันถ้วนหน้า ดาวโจนส์ล่วงหน้าลบแรงถึง 275 จุด น้ำมันล่วงหน้าปรับลง วันนี้จึงต้องระวังแรงขายทำกำไร หลัง SET ปรับขึ้นมาหลายวัน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าและเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1670 จุด
Update Industry: PTTGC – แนวโน้มกำไร 2Q61 ยังไปได้ดี – คาดว่าอุปสงค์สายโอเลฟินส์ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ HDPE แต่เชื่อว่าธุรกิจโรงกลั่นและอะโรเมติกส์จะอ่อนลงในช่วง Low season ก่อนหน้าได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 61 ขึ้น 35% ด้วยสมติฐานราคาผลิตภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปตาม Guidance ของบริษัท รวมทั้งสะท้อนผลประโยชน์ที่ได้จากโครงการ MAX และการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทที่รับโอนมาจาก PTT ตั้งแต่ก.ค.60 แนะนำซื้อ กำหนดราคาพื้นฐานเป็น 113 บาท เราเห็นว่าการที่บริษัทเป็นผู้ผลิต Gas-based ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันดีกว่าผู้ผลิตที่เป็น Naphtha-based ส่วนประเด็นเรื่องสำรองฯของบริษัทลูกคือ GGC ได้รับรู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปลี่ยนเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1630-1640, 1650 โดยมีแนวรับ 1580-1560
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KTB, MTC, SPALI, GULF, HMPRO, TCAP, SAT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ HANA,BEM,EGCO หุ้นที่หลุด List MINT และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ PTT, PTTGC, GLOBAL, KKP, PSH, CPALL, M, PLANB
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าจีนเพิ่ม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
# รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,000 รายการ หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า
# ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินสูงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว
+ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง นักลงทุนมีมุมมองบวกกับผลประกอบการ
# นักวิเคราะห์จากสถาบันเพื่อการลงทุนของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดในเดือนมิ.ย.นั้น ทำให้นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนหันเหความสนใจออกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ว่าทั้งสองประเทศได้บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าล็อตแรกวงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
-ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้น รวมทั้งข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
# ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.867% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.968% เมื่อคืนนี้
-ตัวเลขตำแหน่งงานนอกภาคการเกษตร จำนวนคนว่างงาน ออกมาเป็นบวก
# ข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐลดลงสู่ระดับ 6.6 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. จากระดับ 6.8 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มีคนว่างงานเพียง 6 ล้านคน โดยตำแหน่งงานว่างในเดือนพ.ค.มีจำนวนมากกว่าคนว่างงานเป็นครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 20 ปี
# ทางกระทรวงยังเปิดเผยว่า จำนวนแรงงานที่ลาออกจากงานแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2544 โดยตัวเลขการลาออกจากงานถือเป็นสัญญาณในเชิงบวก ซึ่งแสดงว่าแรงงานมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถหางานใหม่ที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า
+ เฟดอาจไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงขยายตัวต่ำกว่าคาด
# ศุกร์ที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 5 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. โดยการชะลอตัวของค่าจ้างในเดือนมิ.ย.ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
+ นักเศรษฐศาสตร์กลับคาดสงครามการค้ามีผลไม่มาก
# แต่นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางจีน กล่าวว่า สงครามการค้ามูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างจีนและสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในวงจำกัดเท่านั้น คือ GDP ของจีนเติบโตช้าลงเพียง 0.2%
# นักวิเคราะห์จากบริษัทแฮร์ริส ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐ กล่าวว่า มูลค่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนเมื่อวันศุกร์นั้น ไม่มากพอที่จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และไม่ได้มากเท่ากับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ได้ขู่ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว โดยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองว่า ยังมีโอกาสที่สหรัฐและจีนจะเจรจาเพื่อต่อรองกันในเรื่องนโยบายการค้า
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับขึ้น จากข่าวคนงานที่นอร์เวย์และกาบองประท้วง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือเกือบ 0.4% ปิดที่ 74.11 ดอลลาร์/บาร์เร
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 79 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 78.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) หลังจากมีรายงานว่า คนงานในอุตสาหกรรมน้ำมันของนอร์เวย์และกาบองเปิดฉากผละงานประท้วงเมื่อวานนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตเชื้อเพลิงภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม แรงบวกของสัญญาน้ำมันดิบถูกสกัดลงในระหว่างวัน หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐส่งสัญญาณการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกต่อผลการดำเนินงาน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,919.66 จุด พุ่งขึ้น 143.07 จุด หรือ +0.58% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,793.84 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือ +0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,759.20 จุด เพิ่มขึ้น 3.00 จุด หรือ +0.04%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเป๊ปซี่โค นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มหันเหความสนใจออกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป
• ทองคำ : ปรับลง ผลจากดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 4.2 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่ 1,255.4 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ส่งผลให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังทำให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
-/• หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโดยเฉพาะ AOT และ AAV ร่วงแรง กังวลนักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลง
# AOT และ AAV ปรับลงมาก เพราะกังวลนักท่องเที่ยวจีนจะหดหายหลังเกิดเรื่องอุบัติเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต และมีนักการเมืองไปกล่าวถึงเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญ อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนมีความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐ-จีน หากจีนเศรษฐกิจแย่ลง ก็อาจทำให้มาเที่ยวไทยน้อยลงไปอีกด้วยต้องติดตาม ด้าน AOT มีความกังวลจะใช้บริการสนามบินน้อยลง และ AAV ก็มีเส้นทางไปจีนมาก ทั้งเที่ยวไป-กลับ หากเทียบกับสายการบินอื่นๆ
# ผลกระทบ: คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น ถือว่านักท่องเที่ยวจีนมีความสำคัญกับการท่องเที่ยวไทยมาก งวดพ.ค.จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 2.75 ล้านคน (+6.4%) เป็นจีน 0.869 ล้านคน (+14.1%) คิดเป็นสัดส่วนถึง 31.6% ส่วนระยะกลาง-ยาว คาดว่าสถานการณ์จะทยอยดีขึ้น
+/• KTC: ประกาศวันใช้พาร์ใหม่แล้ว คือ 13 ก.ค.61
# ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) ของบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะมีทำการซื้อขายพาร์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.61
# ผลกระทบ: หากใช้ราคาปิดวานนี้ที่ 346.00 บาท เมื่อถึงวันใช้พาร์ใหม่ราคาหุ้นจะปรับลงเป็น 34.60 บาท แต่จำนวนหุ้นของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ความจริงการแตกพาร์ไม่ทำให้ราคาพื้นฐานเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นดีขึ้น ราคาหุ้น KTC ดีดตัวขึ้นสูงมาก่อนหน้าแล้ว จึงอาจต้องระมัดระวังว่าเมื่อใช้พาร์ใหม่แล้ว อาจกลับไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้แรง ก็เนื่องจากมีการเก็งกำไรมาก่อนหน้าส่วนหนึ่งแล้ว
+ PF: ส่งซิกครึ่งปีหลังกำไรดี เพราะบันทึกรายได้ขายที่ดินเปล่า
# PF" ส่งซิกครึ่งปีหลังโตก้าวกระโดด บุ๊กกำไรพิเศษขายที่ดินกว่า 35% จากมูลค่าขายกว่า 3,000 ล้านบาท และบุ๊กรายได้เพิ่ม 2 แห่ง มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เล็งเปิดโครงการใหม่อีก 20 โครงการ (ข่าวหุ้น)
# ผลกระทบ: รายงานวันที่ 25 พ.ค.61 ได้ปรับกำไรปีนี้-ปีหน้าดีขึ้น 300%/150% เพิ่มรายได้ขายที่ดินเปล่าให้ JV และโอนคอนโด GRAND สูงขึ้น คงแนะนำ ซื้อ คาดกำไรหลักปีนี้เพิ่ม 4.8 เท่า y-o-y แต่ปี 62 สู่ภาวะปกติมากขึ้น ราคาพื้นฐานที่ 1.17 บาท ใช้ P/BV 0.8 เท่า ที่น่าสนใจคือ แม้แนวโน้มมีกำไรฟื้นตัวดี แต่หุ้นยังซื้อขายต่ำกว่าพาร์ 1.00 บาท ซึ่งมองว่าถูกไป ราคาหุ้นปัจจุบันเป็น 0.90 บาท ยังมีส่วนเพิ่มได้อีก 30%
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11084