- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 July 2018 17:18
- Hits: 1453
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
การฟื้นตัวของ SET น่าจะติดแนวต้าน 1650 จุด ขณะที่แรงกดดันจากสงครามการค้ายังกระทบเศรษฐกิจโลก อาจนำไปสู่การปรับลดดัชนีเป้าหมายรอบถัดไป ส่วนการรายงานงบ 2Q61 ของ ธ.พ.กลาง-เล็ก หดตัว qoq คือ TISCO, TMB, KKP กลยุทธ์ฯ เน้นหุ้นปัจจัยสี่ (BJC, BH) สาธารณูปโภค (RATCH, TTW, EASTW, DTAC) หุ้นปลอดภัยจากดอกเบี้ยขาขึ้น (BBL, KBANK, PLANB) หุ้นอาหาร-ส่งออก (CPF, TU, GFPT) Top picks: BBL(FV@B220), BH(FV@B221) และเพิ่มหุ้น MK มี upside 24% จากราคาที่ SPALI จะรับซื้อที่ 4.1 บาท
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ ….พลังงาน-แบงก์ ดัน SET Index บวกแรง
วานนี้ SET Index ปรับตัวขึ้นโดดเด่น โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่มีแรงซื้อเข้ามาหนุนกลุ่มพลังงาน รวมถึงหุ้น Market Cap. ขนาดใหญ่ ดันดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1643.60 จุด หรือ 20.64 จุด หรือ 1.27% นำโดยกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่ม ปตท. PTT(+3.72%) PTTEP(+3.36%) PTTGC(+6.12%) และTOP(+8.51%) ส่วนหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึงเกิดแรงรีบาวด์ของหุ้นกลุ่ม ธ.พ. ขนาดใหญ่ (SCB KBANK) และการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของ ธ.พ. ขนาดกลาง-เล็ก (KKP TCAP TISCO) อย่างไรก็ตามหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มขนส่งอย่าง AOT ถูกแรงขายกดดันราคาหุ้นร่วง 1.50%สวนทางตลาด หลังมี Sentiment เชิงลบออกมา หลังกระทรวงคมนาคมตีกลับแผนการโอนย้าย 4 สนามบินของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ให้ AOT
แนวโน้มดัชนีตลาดวันนี้ คาดว่าน่าจะอ่อนตัวลง หลังจากฟื้นตัวแรงวานนี้ โดยน่าจะติดแนวต้าน 1650 จุด ยังให้น้ำหนักสงครามการค้า จีน - สหรัฐ ที่จะมีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น หากสหรัฐยังเดินหน้าแข็งกร้าวต่อจีน และเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ของสหรัฐจะประกาศในสัปดาห์นี้น่าจะเพิ่มในอัตราเร่งและยืนยันการขึ้นดอกเบี้ยตามแผน ส่วนในไทยสัปดาห์นี้จะเริ่มประกาศงบแบงค์ขนาดกลาง-เล็ก TISCO, TMB, KKP
สหรัฐดุดัน จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 2.5 แสนล้านเหรียญฯ
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้นแล้ว หลังจากเมื่อวันที่ 6 ก.ค. รายละเอียดดังตาราง ล่าสุด ผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 2 ฝั่งได้ปรับขึ้นราคาขาย โดยรวม ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น คือ Tesla Motors (บริษัทผลิตและจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าสัญชาติสหรัฐ) รายแรกที่ปรับขึ้นราคารถยนต์รุ่น Model X และ Model S ในจีน ที่อัตรา 20% เท่ากัน เช่นเดียวกับ BMW) (ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมนี) เตรียมปรับขึ้นราคารถยนต์ที่ในจีน (ยังไม่กำหนดรายละเอียด) เนื่องจาก BMW มีฐานการผลิต อยู่ในรัฐแคโรไลนา และเชื่อว่าอุตสาหกรรมอื่นๆน่าจะทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าในระยะถัดไป ซึ่งจะกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป
และรอบ 2 ของสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านเหรียญ จะเป็นสินค้าใดขึ้นกับผลการทำประชาพิจารณ์จะได้ข้อสรุปสิ้นเดือน ก.ค. ซึ่งคาดจีน จะตอบโต้วงเงินที่เท่ากัน รายละเอียดดังตาราง และล่าสุด เมื่อคืนนี้ สหรัฐประกาศเดินหน้าที่จะขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ตามที่ประกาศไว้เป็น 2.5 แสนล้านเหรียญฯ อัตราภาษี 10% จำนวน 6,031 สินค้าหลักๆเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าจำเป็น อาทิ สินค้าเกษตร ประมง, เครื่องนุ่งห่ม (รายละเอียดดังตาราง) โดยจะเริ่มประชาพิจารณ์ให้เสร็จภายในเดือน ส.ค.
คาดผลกระทบสงครามการค้าจะมีน้ำหนัก กดดันเศรษฐกิจมากขึ้นตามลำดับ หากสหรัฐยังเดินหน้าแข็งกร้าวต่อจีน น่าจะกดดันความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในลำดับถัดมา (น้ำมัน ถ่านหิน และ ปิโตรเคมี เป็นต้น)
ภาษีลาภลอย กระทบกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังต้องรอเวลา
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 10 ก.ค. 2561 เห็นชอบหลักการ “พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาการระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐฯ” หรือ ภาษีลาภลอย แนวคิดมีอยู่ว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของรัฐบาล อย่างเช่น รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน ฯลฯ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่ระดับสูง และใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชน เมื่อการดำเนินโครงการแล้วเสร็จผลประโยชน์ (ราคาอสังหาฯ ปรับขึ้น) ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกลับตกอยู่กับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ที่โครงการด้านคมนาคมตัดผ่าน (ตามกฎหมายกำหนดรัศมี 5 ก.ม. จากโครงการ) จึงควรต้องนำมาเสียภาษี โดยหลักการแล้ว ภาษีลาภลอย จะถูกเรียกเก็บจากผู้ขาย เมื่อมีรายการขายอสังหาริมทรัพย์ออกมา ทั้งนี้กระบวนการของกฎหมายฯ ยังต้องผ่านการพิจารณาของ กฤษฎีกา ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. (หรือรัฐสภา หลังการเลือกตั้ง) ซึ่งเชื่อว่าอีกนาน
หากกฎหมายมีผล คาดว่ากระทบต่อผู้พัฒนา และผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ด้านผู้ซื้อ เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการถือครองเพี่อการลงทุน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อขายออกไปในอนาคตเพิ่มสูงขึ้น ส่วนผู้ขายอาจจะกระทบแต่น่าจะอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากรูปแบบการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ผู้ประกอบการจะไม่มีการเก็บที่ดินเปล่าไว้มากเหมือนในอดีต ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเข้ามาแล้วทำการพัฒนาทันที อย่างไรก็ตามหากมีการพัฒนาในพื้นที่ซึ่งโครงการใกล้แล้วเสร็จ ก็อาจต้องรับภาระภาษีส่วนเพิ่มได้เช่นกัน โดยภาพรวมเชื่อว่าข่าวนี้น่า สร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้นอสังหาฯ หากต้องการเข้าลงทุนควรรอจังหวะเมื่อราคาอ่อนตัว และเลือกหุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง อย่าง LH (FV@B 13.40),QH (FV@B 4.30)
PTTEP กำไรงวด 2Q61 หดตัวจากเงินบาทที่อ่อนค่า
PTTEP (Switch: FV@137) คาดงวด 2Q61 จะมีกำไรลดลงถึง 66.1%qoq จากรายการพิเศษ คือ ภาษีเพิ่ม 5.6 พันล้านบาท และขาดทุน FX 1.0 พันล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นมาจากเงินบาทที่อ่อนค่า แต่หากตัดรายการพิเศษ กำไรปกติเพิ่ม 21%qoq ตามราคาขายและ ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้ม 3Q61 ยังทรงตัวจาก 2Q62 และยังคงเชื่อว่าราคาน้ำมันจะแกว่งในกรอบ 70-75 เหรียญ/บาร์เรล จึงยังคงประมาณการ และคำแนะนำ switch ขณะที่โครงการลงทุนใหม่แหล่งบงกชและเอราวัณ คาด PTTEP มีโอกาสสูงที่จะชนะประมูล ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตต่อยอดกำไรในระยาว (คาดจะประกาศผู้ชนะในช่วงปลายปีนี้ และนามลงได้ในเดือน ก.พ. 2562)
ทั้งนี้ PTTEP เป็น 1 ในอีกหลายบริษัทที่กระทบจากเงินบาทอ่อนค่า เพราะจัดทำงบในรูปสกุลดอลลาร์ แต่เมื่อรายงานงบโดยแปลงเป็นเงินบาทจึงมีผลกระทบด้านภาษี และหนี้สินต่างประเทศ โดยจากการศึกษาของ ASPS พบว่าทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่า (แข็งค่า) PTTEP จะได้ขาดทุน (กำไร) ราว 90-100 ล้านเหรียญฯ
SPALI เสนอซื้อหุ้น MK ที่ราคา 4.1 บาท สูงกว่าราคาตลาด 24%
SPALI โดยบริษัทย่อย บริษัทศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ (SPM) แจ้งตลาดฯ จะทำคำเสนอหุ้น MK โดยสมัครใจ ที่ราคาหุ้นละ 4.1 บาท แต่มีเงื่อนไขว่าหากทำคำเสนอซื้อได้น้อยกว่า 25% ของทุนเรียกชำระแล้วทั้งหมด ต้องยกเลิกการทำคำเสนอซื้อ
การซื้อกิจการน่าจะมีความสมเหตุสมผล เนื่องจากผู้บริหารทั้ง 2 เป็นพี่น้องกัน และมีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานานหลาย 10 ปี ปัจจุบันธุรกิจของ 2 ตระกูลได้เปลี่ยนผ่านมาอยู่ในมือผู้บริหารรุ่นหลัง แม้ผลของการควบรวมกิจการกัน จะไม่ทำให้ SPALI แตกต่างจากเดิมนัก เพราะ MK เน้นทำตลาดบ้านเดี่ยว ขณะที่ SPALI ทำหลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโด เป็นต้น แต่น่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันทำผุ้ประกอบการในธุรกิจฯ
ภายใต้สมมติฐานว่าการซื้อกิจการได้เกิน 25% ซึ่งจะมีผลทำให้มีการจัดทำงบการเงินรวมทั้ง 2 บริษัท จากที่ทีมผู้บริหาร SPALI น่าจะเข้าเป็นผู้บริการเป็นหลัก ปัจจุบัน MK มีทุนเรียกชำระแล้ว 992 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท หากสามารถซื้อหุ้น MK ทั้งหมดต้องใช้เงินกว่า 4 พันล้านบาท แต่คาดว่าจะไม่สามารถซื้อได้ทั้งหมด เพราะหุ้น MK ได้ถูกขายให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่กลุ่มหนึ่งไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยหากพิจารณาเงินสดของ SPALI สิ้นปี2561 คาดไว้ที่ 600 ล้านบาท บวกกับ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) อีก 4.1 พันล้านบาท และ External debt/Equity ต่ำกว่า 1 เท่า จึงมีความพร้อม
ความเหมือนของ SPALIและMK คือ เป็นหุ้นที่มี P/E ต่ำกว่า 10 เท่า และ เงินปันผลสูงราว 5% จึงแนะนำซื้อ MK เพราะราคารับซื้อ 4.1 บาท สูงกว่าราคาตลาดที่ 3.3 บาท หรือ ราว 24% ส่วน SUPALI(FV@B28) ราคาตลาดมี upside 10% น่าสนใจน้อยกว่า MK
งบการเงินรวมของ MK และ SPALI งวด 1Q61 และ ปี 2560
TEAMG จะเข้าซื้อขายตลาดฯ วันพฤหัสบดีนี้ มี Trailing P/E 13.44 เท่า
หุ้น IPO “TEAMG” เป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ ตั้งแต่การริเริ่มวางแนวคิด พัฒนาโครงการ จัดทำแผนแม่บทสำหรับโครงการ ศึกษาความเหมาะสม สำรวจและออกแบบโครงการ ควบคู่ไปกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และยังมีบริการควบคุมงานก่อสร้างและบริหารโครงการ ตลอดจนการบำรุงรักษาอุปกรณ์และระบบตรวจวัดหลังส่งมอบโครงการ
โดยงวด 1Q61 กำไร 22 ล้านบาท เพิ่ม 17.7 เท่า yoy รายได้เพิ่ม 10% จากงานออกแบบ&ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม Gross Margin ทรงตัว 32.6% แต่ SG&A/Sales ลดเหลือ 26.3% มี Backlog 3.4 พันล้านบาท จะรับรู้รายได้ปีนี้และปีถัดไป
ราคา IPO ที่ 2.42 บาท อิง EPS 4 ไตรมาสย้อนหลัง P/E 13.44 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจใกล้เคียงกันอย่าง PPS (จดทะเบียนตลาด MAI) มีค่า PER เฉลี่ย 20.18 เท่า (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ใน Flash Note 10 ก.ค. 2561)
สงครามการค้ายังไม่จบ คาดต่างชาติยังหลบออกจากตลาดหุ้น
ประเด็นสงครามการค้าบานปลาย กดดันให้ Fund Flow มีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นต่อ แม้วานนี้ต่างชาติยังสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันแรกราว 100 ล้านหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 6 วัน) โดยเป็นการซื้อสุทธิ 3 ประเทศ คือ ไต้หวันที่ถูกซื้อสุทธิ 81 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 61 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 9 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 6 วัน) ส่วนตลาดหุ้นอีก 2 ประเทศ ยังถูกขายสุทธิ คือ ฟิลิปปินส์ 10 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) และไทยที่ถูกต่างชาติขายสุทธิอีก 42 ล้านเหรียญ หรือ 1.39 พันล้านบาท (เป็นการขายสุทธิตลอดเดือน ก.ค. 61 ที่ผ่านมา (mtd) โดยมีมูลค่ารวม 1.45 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิอีกกว่า 4.22 พันล้านบาท (ตลอดเดือน ก.ค. 61 ที่ผ่านมา ขายสุทธิเพียงวันเดียว และมีมูลค่าซื้อรวมกว่า 2.31 หมื่นล้านบาท)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ ต่างชาติขายสุทธิ 2.73 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) หนุนให้ Bond Yield 10 ปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 2.80%
ปรับลดดัชนีเป้าหมายปี 2561 อยู่ที่ 1662 จุด มีupside จำกัด
ดังที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอมาตลอดถึงผลจากสงครามการค้ามีน้ำหนักกดดันเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยเฉพาะสหรัฐกับจีนที่ต่างฝ่ายต่างขึ้นภาษีนำเข้าล็อตแรกวงเงิน 3.4 หมื่นล้านเหรียญไปแล้ว ล็อตที่ 2 วงเงิน 1.6 หมื่นล้านเหรียญ กำลังจะตามมาในเดือนหน้า ซึ่งไทยน่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมเพราะไทยค้าขายกับจีนราว 18.1% ของการค้าทั้งหมด และค้าขายกับเอเชียสูงถึง 60% ภาคส่งออกจึงกระทบมากสุด ประกอบกับ Fund Flow ที่ไหลออกจากไทยต่อเนื่องนับจาก ปี 2556 จนทำให้สัดส่วนการถือครองต่างชาติลดลงเหลือ 22.85% (หากรวมกับ NVDR ยังอยู่ที่ 30% แต่สะท้อนการลงทุนระยะยาวในลดลง) ด้วยเหตุดังกล่าว ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดดัชนีเป้าหมายปี 2561 ที่อิง P/E 16 เท่า เหลือ 15 เท่า โดยยังอิง EPS ตลาดปี 2561 ที่เดิม 110.78 บาท ได้ดัชนีเป้าหมายปีนี้ที่ 1662 จุด มี upside 3%
กลยุทธ์การลงทุนให้น้ำหนักลงทุน 40% เน้นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ และมีเกราะป้องกันจากดอกเบี้ยขาขึ้น ชอบ TTW, RATCH, BJC, DTAC, ADVANC, BBL, KBANK และ BH (ติดตามอ่านรายละเอียดใน Investment Strategy 9 ก.ค. 2561)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO11076