- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 July 2018 16:11
- Hits: 5853
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมาแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงขายเด่นใน BEAUTY ภายหลังผู้บริหารมีการเรียกประชุมนักวิเคราะห์ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับลดกว่า 30% (มูลค่าซื้อขายสูงกว่า 1.1หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อในกลุ่มธนาคารอย่าง SCB, KBANK, BBL, TMB และกลุ่ม Leasing อย่าง MTC และกลุ่ม ICT นำโดย DTAC, TRUE ณ.สิ้นวัน SET กลับมาปิดที่ 1,629.2 จุด (+2.5 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.7 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 2,336 ล้านบาท (สถาบันซื้อ 4,660 ล้านบาท) แต่ยังคงเปิดสถานะ Long SET50 index future ที่ 7,331 สัญญา
Investment theme
Tradewar ในระยะยาวประเมินผลกระทบเป็นวงกว้าง จับตา Emerging market : ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ สหรัฐจะเริ่มเผยรายละเอียดปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากว่าพันชนิดวงเงินเริ่มต้น 3.5-5.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากประเทศจีน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสงครามการค้าโลก (สหรัฐ-นานาประเทศ) อย่างเป็นทางการอีกครั้งในรอบ 16 ปี เบื้องต้นเรามองว่าตลาดหุ้นได้ปรับลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา (MSCI EM -10% QTD) ได้สะท้อนประเด็นวงเงินดังกล่าวไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม แนะนักลงทุนจับตา 2ปัจจัยสำคัญซึ่งถือเป็น Downside ที่เรามองว่า ณ.ปัจจุบันยังไม่ถูกรวมไว้ นั้นคือ 1)หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากยุโรป และ 2)หากปรับขึ้นภาษี และออกมาตรการกีดกันสินค้ากลุ่ม IT จากประเทศจีน โดยหากเกิดทั้ง 2 สิ่งนี้ขึ้น เราประเมินผลกระทบจะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ แต่หากระหว่างทางไม่มีสัญญาณลบจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ณ.ปัจจุบันที่ระดับ PER เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ต่ำกว่า 15.0 เท่า มี Downside ที่จำกัด (กรอบล่างประเมินที่ 1,580+/-จุด) และสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ระยะสั้นแนะนำทยอยสะสม กลุ่ม Domestic นำโดยกลุ่มธนาคาร BBL (เป้าหมาย 235.0บาท), ค้าปลีก BJC (เป้าหมาย 68.0บาท) และรถไฟฟ้า BEM (เป้าหมาย 9.0 บาท )
Investment Theme: สำหรับนักลงทุนระยะยาว คงคำแนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน Trade war ซึ่งจะมีผลจริงในวันที่ 6 ก.ค. แนะจับตาข้อสรุปการกีดกันการลงทุนจากประเทศจีน โดย CFIUS ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยยะต่อชนวนสงครามการค้า
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – Dollar กลับมาอ่อนค่าเล็กน้อย ที่บริเวณ 94.5 และหยวนกลับมาแข็งค่าบริเวณ 6.63 / จีนรายงานยอดการส่งออกไปสหรัฐเดือนมิ.ย.เติบโตเพียง 3.8%YoY
Stock pick : N/A
Trading idea – สำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะเก็งกำไร STEC (ราคาเป้าหมาย 25.0 บาท) / GOLD (คาดกำไรทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้า) / ทยอยสะสม TPIPP (คาดกำไร Q2 ทำสถิติสูงสุด, ปันผล 7.2%) , ทยอยสะสม BCP (เรามีมมุมมองเชิงบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์) ปัจจุบัน Downside จำกัด ปันผล 5.6% แนะซื้อราคาเป้าหมาย 44.0 บาท
Technial View
Trading เล่น Rebound แต่พิจารณาแรงขายเป็นขั้นๆ : ดัชนียังคงมีแรง Rebound ต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า แม้ระหว่างวันจะมีการปรับฐาน แต่ก็ยังคงมีแรงซื้อกลับได้ภายในวัน อีกทั้ง Modified Stochastic ที่ตัดขึ้นจากเขต Oversold ระยะสั้นจึงมองว่าดัชนีมีโอกาส Rebound มองแนวต้านที่ 1645 และ 1655 แต่เนื่องจากแนวโน้มหลักยังเป็นขาลง จึงมองว่าจะเป็นเพียง Rebound สั้นๆ เท่านั้น และยังมองเป็นโอกาสทยอยลดพอร์ตสำหรับคนติดหุ้น
กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : จังหวะ Rebound ระหว่างวันยังมองเป็น โอกาสเทรดสั้นๆ หรือ ขายเพื่อลดพอร์ต 2) ไม่มีหุ้น : มองเป็นโอกาสเล่น Rebound สั้นๆ มองกรอบการแกว่ง 1615-1655 เน้นขึ้นขาย-ลงซื้อ
แนวรับ : 1615, 1625 แนวต้าน : 1645, 1655
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: จับตาปัญหา Trade war / 5 ก.ค. รายงานการประชุม Minute
ปัจจัยในประเทศ: -
หุ้นเทคนิค:
CPALL (B 75.00-76.00, Tp 79.00// 81.00, Cut 74.00)
CPN (B 71.50, Tp 76.00, Cut 70.00)
นักวิเคราะห์ : สรพล วีระเมธีกุล / วิจิตร อารยะพิศิษฐ / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-5000
OO10842