- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 02 July 2018 17:52
- Hits: 2938
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“บวก...จีนผ่อนคลายการค้า-ยุโรปบรรลุข้อตกลงผู้อพยพ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์– SET Index ปรับตัวลงต่อ 3.96 จุด ปิดที่ 1595.58 จุด แกว่งลงสวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับขึ้น มูลค่าซื้อขายดีขึ้นที่ 64.5 พันล้านบาท ขณะที่ทำยอดต่ำสุดของวันที่ 1584.68 จุด ยังกังลข่าวลบเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐฯมีการจัดตั้งคณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐและข่าวกระแสเงินไหลออกเช่นเคย และยังกังวลข่าวโครงการเมกะโปรเจ็กต์เลื่อนประมูลไปปีหน้า มีแรงขายกลุ่มรับเหมาต่อเนื่อง กดดัน SET ให้ปิดลบ หลักทรัพย์ปรับตัวลงมากคือ PTTGC ที่ปรับตัวลงมากตามบริษทลูกที่มีข่าวว่า สต็อคสินค้าหายไปถึง 2.1 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ บัญชีหลักทรัพย์ 3.0 พันลบ. รายย่อย 1.1 พันลบ.และ และ ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.8 พันลบ. และสถาบัน 1.3 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสที่จะรีบาวด์ได้ เพราะมีข่าวดีเรื่อง จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ EU บรรลุข้อตกลงผู้อพยพ และธนาคารสหรัฐส่วนใหญ่ผ่าน Stess Test รอบ 2 สำหรับข่าว GGC บ.ลูกกระทบภาพพจน์ PTTGC และ PTT ในทางลบ ส่วนเรื่องสงครามการค้ ยังวางใจไม่ได้เพราะเริ่มมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นเมื่อ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ และมีความสับสนจากเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณออกมาในเรื่องนโยบายการค้า ส่วนเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ตัวเลข พ.ค.61 ขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบบวก-ลบ กังวลสงครามการค้า ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +48 จุด น้ำมันล่วงหน้าปรับลด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การที่ SET ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้หุ้นพื้นฐานดี Blue Chip หลายตัวย่อลงมาให้ซื้อได้ เช่น AOT, ADVANC, BBL, CPALL, KBANK, PTTGC และ SCC เป็นต้น และวันนี้จะเริ่มใช้ SET 50 SET 100 จึงไปติดตาม หุ้นเข้า-ออก อาจยังมีผลอยู่บ้าง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1640 จุด
Update หุ้นเด่น: HANA – การฟื้นตัวของสมาร์ทโฟนที่ดี ทำให้ความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์เพิ่มตามไปด้วย และบริษัทกล่าวว่ามีความต้องการซื้อที่มากขึ้นของลูกค้าที่ต้องการลดการพึ่งพิงสายการผลิตในประเทศจีน หลังมีประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบไม่มาก ถือว่าดีกว่ากลุ่ม แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 38 บาท โดยอิงกับ P/E ปีนี้ที่ 18 เท่า โดยไอเอชเอส มาร์กิต เผยว่า รายได้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ช่วงไตรมาสแรก อยู่ที่ 1.157 แสนล้านดอลลาร์ พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 9.52 หมื่นล้านดอลลาร์
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆ ก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1610-1620, 1640 โดยมีแนวรับ 1580-1570
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KKP,KCE,ROBINS,BDMS ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT,SCC,PTTGC,AOT,CPALL,VGI,GOLD,CPN หุ้นที่หลุด List คือ PRINC,GFPT และที่ให้หาจังหวะTake profit -ไม่มี-
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ
# ทางการจีนได้ทำการทบทวนข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดของการลงทุนจากต่างประเทศ และจะเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนในเร็วๆนี้
# ข้อจำกัดได้แก่ ด้านพลังงาน, ทรัพยากร, โครงสร้างพื้นฐาน, การคมนาคม, กระแสการหมุนเวียนด้านการค้า และการให้บริการระดับมืออาชีพ จะถูกยกเลิกหรือผ่อนคลายลง เพื่อให้สอดคล้องกับที่รัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการเปิดเสรีในภาคการเงินและยานยนต์เมื่อไม่นานมานี้
+ สหภาพยุโรป (EU) บรรลุข้อตกลงนโยบายผู้อพยพ
# สหภาพยุโรป (EU) สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สร้างความวิตกกังวลว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยกใน EU และอาจส่งผลกระทบต่อเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลเยอรมนี ได้เป็นผลสำเร็จ
+ ธนาคารหลายแห่งในสหรัฐผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติรอบ 2
# ธนาคารหลายแห่งสามารถผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) รอบที่ 2 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ธนาคารเหล่านั้นเปิดเผยแผนการซื้อคืนหุ้น หรือเพิ่มการจ่ายเงินปันผล
# เฟดระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 34 แห่ง จาก 35 แห่งสามารถผ่านการทดสอบ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกนสแตนลีย์ สามารถผ่านการทดสอบอย่างมีเงื่อนไข โดยเฟดกำหนดให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งจ่ายเงินปันผลที่ไม่สูงกว่าระดับในปีที่แล้ว ส่วนธนาคารดอยซ์แบงก์ที่ดำเนินกิจการในสหรัฐไม่ผ่านการทดสอบ
+/- ตัวเลขเศรษฐกิจ Mix การใช้จ่ายผู้บริโภคชะลอ แต่การบริโภคส่วนบุคคลยังสูง
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนพ.ค. โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนเม.ย.เพราะได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ลดลง
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2555 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนเม.ย.
- ความคืบหน้าล่าสุดของทรัมป์ เกี่ยวกับการจำกัดการลงทุนของจีน
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีน ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว ขณะที่นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน พร้อมกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการให้คณะกรรมการ CFIUS เป็นผู้ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่บริษัทจีนควรจะถูกระงับการเข้าถือครองบริษัทในสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐ
+ ดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังยูโรแข็งค่า
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (29 มิ.ย.) ขณะที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้น หลังจากที่สหภาพยุโรป (EU) สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพได้เป็นผลสำเร็จ
- สหรัฐออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน
# นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทวีตข้อความระบุว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ขู่ทุกประเทศทั่วโลกให้ยุติการตั้งกำแพงการค้าต่อสินค้าสหรัฐ มิฉะนั้นจะต้องพบกับมาตรการตอบโต้จากสหรัฐ
# จากข่าวข้างต้นทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกได้รบผลกระทบในทางลบ มีการกลับเข้าไปซื้อทองคำและพันธบัตรที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
+ ราคาน้ำมันปรับขึ้น แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือเกือบ 1% ปิดที่ 74.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 1.59 ดอลลาร์ หรือกว่า 2% ปิดที่ 79.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญานํ้ามันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (29 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานของเบเกอร์ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ ที่เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 4 แท่น สู่ระดับ 858 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น สงครามการค้าคลี่คลายลงบ้าง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,271.41 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด หรือ +0.23% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,718.37 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด หรือ +0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,510.30 จุด เพิ่มขึ้น 6.62 จุด หรือ +0.09%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (29 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มวัสดุและหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าได้เริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ
• ทองคำปรับขึ้น จากการอ่อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 3.50 ดอลลาร์ หรือ 0.28% ปิดที่ 1,254.50 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (29 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำปิดร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการก่อนหน้านี้
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ ธปท.เผยเศรษฐกิจไทย พ.ค.ขยายตัวดีต่อเนื่อง
# เศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ค.ขยายตัวดีต่อเนื่องตามการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวสูง สอดคล้องกับอุปสงค์ต่างประเทศที่ขยายตัวดีและราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับ อุปสงค์ในประเทศขยายตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในทุกหมวดการใช้จ่าย ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสอดคล้องกัน ด้านการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในทุกหมวด ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวชะลอลงบ้าง
# มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัว 13.1% จากระยะเดียวกันปีก่อน และหากหักทองคำขยายตัว 12.2% โดยเป็นการขยายตัวในหลายหมวดสินค้า ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นตามราคาน้ามันขายปลีกในประเทศราคาก๊าซหุงต้ม และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่สูงขึ้น ส้าหรับอัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงตามการขาดดุลบริการ รายได้ และเงินโอนตามฤดูกาลส่งกลับรายได้และเงินปันผลของธุรกิจต่างชาติ และรายรับการท่องเที่ยวที่ชะลอลง
# จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัว 6.4% จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและฮ่องกงเป็นสำคัญ
-/• ธปท.คาดส่งออก H2/61 แผ่วลงจากฐานสูง-หวั่นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกกด
# ธปท.ประเมินว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะขยายตัวได้ในระดับ 2 หลัก ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังยาวไปจนถึงปีหน้า คาดว่าจะชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งมากจากฐานส่งออกที่สูงในช่วงก่อนหน้าและปัจจัยในเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยไม่นับรวมปัญหาสงครามการค้า แต่การส่งออกทั้งปีเชื่อว่าจะยังเป็นไปตามที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ 9%
-GGC ฉุดความเชื่อมั่น คาดบริษัทแม่ PTTGC ได้รับผลกระทบไปด้วย
# GGC เผยตรวจพบวัตถุดิบคงคลังขาดหายไปมูลค่าราว 2.1 พันลบ.ยันไม่กระทบการดำเนินธุรกิจ-แผนลงทุน (SET)
# ผลกระทบ: ราคาหุ้นวันศุกร์ปรับลงถึง 24.2% หรือ 2.95 บาท ปิดที่ 9.25 บาท ผลกระทบในแง่เชิงตัวเลขคือ หากต้องตั้งสำรองเป็นค่าใช้จ่าย 2.1 พันล้านบาท คิดเป็นต่อหุ้นที่ 2.05 บาท และหากต้องตั้งใน 2Q61 เลย คาดว่าจะทำให้มีผลขาดทุนมาก ตัวอย่างเช่น 1Q61 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิเพียง 64 ล้านบาท แสดงว่าราคาหุ้นตอบรับไปแล้วส่วนหนึ่ง
# แต่ในแง่ความเชื่อมั่นอาจจะยังเป็นประเด็น เพราะสิ้นงวด 1Q61 มีรายการสินค้าคงเหลือที่ 2.44 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ยากที่บริษัทจะไม่ทราบว่าสต็อคสินค้าได้หายไป มีแต่ตัวเลขทางบัญชีมานานแล้ว
# PTTGC เป็นบริษัทแม่ของ GGC ถือหุ้นอยู่ 72.29% จึงอาจได้ผลลบบางส่วนจากการที่วัตถุดิบหายไป 2.1 พันล้านบาท หากคิดความเสียหายตามบริษัทลูก ตามสัดส่วนที่ถือ ก็จะกระทบต่อ PTTGC 1.508 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 0.34 บาท/หุ้นของ PTTGC และคิดเป็น 3.7% ของคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 61 ของทาง DBSV ส่วนราคาหุ้นวันศุกร์ปรับลงถึง 3.25 บาท หรือ 4.26% ทีเดียว
-มีข่าวลบกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ติดหล่ม พรบ.วินัยการเงินการคลัง
# มีข่าวกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ติดหล่ม พรบ.วินัยการเงินการคลัง หวั่นเพิ่มหนี้สาธารณะเป็นภาระงบประมาณ บอร์ด รฟม.สั่งศึกษาการเงินสายสีส้ม-สีม่วงใต้เพิ่ม รถไฟทางคู่เฟส 2 อาจหลุดโค้งประมูลไม่ทันปีสิ้นปีนี้
#พรบ.เริ่มใช้มาตั้งแต่ 19 เม.ย.61 นั่นคือแต่ละโครงการต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังเพิ่มอีกขั้นตอนหนึ่ง ทางรมว.คมนาคมคาดว่าจะช้าจากเดิม 2-3 เดือน (ประชาชาติธุรกิจ)
# ผลกระทบ: วานนี้แนะนำให้ชะลอการลงทุนในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างไปก่อน เพราะโอกาสของผู้รับเหมาปีนี้อยู่ที่ครึ่งปีหลัง หากกลายเป็นว่า พรบ.นี้ทำให้ไม่สามารถเปิดประมูลงานขนาดใหญ่ในครึ่งหลังปีนี้ได้ ก็จะเป็นการจำกัดโอกาสต่อไปอีกทั้งประเด็นการรอเลือกตั้งประมาณ ก.พ.ปีหน้า ตามโรดแมป ก็อาจจะมีการชะลอ คือ รอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการมากกว่า
+/- VGI-W1 ใกล้ SP มีโอกาสที่จะซื้อ แล้วไปแปลงเป็นหุ้นแม่ ขายทำกำไรได้
# เนื่องจากจะหมดอายุวอร์แรนท์แล้ว ใช้สิทธิ์คือ วันที่ 1 ส.ค.61 จึงต้องหยุดซื้อขาย หรือขึ้น SP ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.-1 ส.ค. 61
# คาดว่า VGI-W1 มีความน่าสนใจตรงที่อยุ่ในภาวะมีกำไร (In the Money) เพราะราคาวอร์แรนท์เป็นเพียง 0.07 บาท ราคาใช้สิทธิ์ 7.00 บาท นั่นคือต้นทุนในการแปลงเป็น 7.07 บาท แต่ราคาหุ้นตัวแม่เป็น 7.70 บาท มีส่วนเพิ่มอยู่ที่ 9% เงื่อนไขการใช้สิทธิ์คือ 1 วอร์แรนท์แปลงได้ 1 หุ้นสามัญ จึงอาจมีการเก็งกำไรเมื่อเข้าใกล้วัน SP ได้
# ด้านความเสี่ยงคือ ระยะเวลาที่รอการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญและรอให้ตลาดฯอนุมัติการเข้าซื้อขายในตลาดฯ หากราคาหุ้นตัวแม่ปรับลงมาก หรือหุ้นที่แปลงในงวด มิ.ย.61 อาจมีการขายทำกำไรออกมา ก็จะทำให้โอกาสได้รับผลตอบแทนสูงได้น้อยลง หรือกระทั่งหมดไปเช่นกัน
# ประเด็นที่น่าสนใจคือ การแปลง VGI-W1 ซึ่งจะหมดอายุวันที่ 1 ส.ค.61 แล้วยังจะได้ VGI-W2 (XW 14 ส.ค.61) ทั้งนี้คุณสมบัติ VGI-W2 คือ ได้รับการจัดสรร 1:1 ไม่คิดมูลค่า อัตราการใช้สิทธิ์ 1:1 ที่ราคา 10.00 บาท อายุ 4 ปี
-/• BTS นัดหารือ กทม.มาตรการเยียวยาผู้โดยสารช่วงรถไฟฟ้าขัดข้อง จับตา 2 ก.ค.61ยังจะมีปัญหาหรือไม่
# ในสัปดาห์นี้ บริษัทฯ จะหารือกับทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยคาดว่าจะออกมาตรการเยียวยากับผู้รับผลกระทบหลังเกิดเหตุขัดข้องในการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสตั้งแต่วันที่ 25-27 มิ.ย.61 ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสาร โดยเหตุขัดข้องดังกล่าวคาดว่ามาจากการรบกวนของสัญญาณคลื่นวิทยุสื่อสารจากภายนอก
# ในส่วนของบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการติดตั้งและปรับความถี่วิทยุให้แล้วเสร็จ และย้ายคลื่นความถี่มาใช้ช่วงปลายคลื่น 2400 MHz จากเดิมใช้ช่วงต้นคลื่น 2400 MHz ให้แล้วเสร็จในคืนวันที่ 29 มิ.ย.61 และพร้อมให้บริการในวันที่ 30 มิ.ย.61 พร้อมทั้งจะส่งมอบอุปกรณ์รับสัญญาณให้ทางบมจ.ทีโอทีช่วยตรวจสอบเพื่อไม่ป้องกันปัญหาในอนาคต
# หลังจากทีโอทีปิดการใช้งานคลื่น 2300 MHz ทำให้การเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสวันนี้เป็นไปตามปกติ และยอมรับว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาจำนวนผู้โดยสารย้ายไปใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ประมาณ 6-7 หมื่นเที่ยวคน/วัน อย่างไรก็ดี เชื่อว่าจำนวนผู้โดยสารจะทยอยกลับมาเป็นปกติ ปัจจุบันในวันทำการมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 7.3-7.4 แสนเที่ยวคน/วัน
# แต่ยังต้องติดตามว่าจันทร์ 2 ก.ค.61 จะมีปัญหาหรือไม่ คือ BTS ได้ปรึกษากับก.คมนาคม เพราะ วันนี้หากการเดินรถไฟฟ้าเกิดปัญหาขัดข้อง เพราะในวันทำการจะมีจำนวนผู้โดยสารหนาแน่นและมีการใช้อุปกรณ์มือถือจำนวนมากที่อาจจะส่งคลื่นรบกวน และคลื่น 2300 MHz เปิดใช้งานตามปกติ รวมทั้งบีทีเอสจะติดตั้งอุปกรณ์กรองสัญญาณ โดยกำลังพิจารณาว่าจะสั่งซื้อให้ติดตั้งอุปกรณ์กรองสัญญาณทั้งด้านข้างสองด้าน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาว
# ผลกระทบ: ข่าวการที่ต้องเยียวยา ซื้ออุปกรณ์เพิ่มในการปรับปรุงคลื่น และรายได้ที่หายไป จากการที่ผู้ใช้บริการบางส่วนย้ายไป MRT ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ในช่วงที่มีปัญหา ถือว่าเป็นลบในระยะสั้น แต่หากพิจารณาเป็นระยะยาวจะมีผลกระทบน้อย กับผลการดำเนินงานของบริษัท เพราะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ คงคำแนะนำ ซื้อ BTS แต่ Fully Valued สำหรับ BTSGIF และอาจมีการซื้อเก็งกำไร BEM หาก BTS ยังมีปัญหาอยู่ เนื่องจาก BEM จะมีรายได้มากขึ้นในระยะนี้ ยังต้องติดตามเรื่องคลื่น เพราะมีข่าวเรื่องคำแนะนำ ให้ BTS ย้ายคลื่นไป 900 MHz ไปเลย หากทำอาจมีปัญหาว่าจะมีต้นทุนเพิ่มหรือไม่ และใครจ่าย ระหว่าง BTS, BTSGIF หรือ กทม.
-/• อสังหาฯ: สคบ.ริบเงินดาวน์ พวกเก็งกำไร
# นักเก็งกำไรป่วนตลาดอสังหาฯ 5 แสนล้าน สวมรอยผู้บริโภคฟ้อง สคบ.ถูกริบเงินดาวน์ 800 ราย "นายกคอนโดฯ" ฉะแหลก แฉลูกค้าซื้อลงทุน-เก็งกำไรพุ่ง 50% ถ้าขายต่อไม่ได้หาข้ออ้างยื้อโอน ชี้ กม.แพ่งถ้าลูกค้าผิดสัญญาสร้างเสร็จไม่รับโอนเปิดช่องให้ริบเงิน ขาใหญ่โครงการห้องชุด "ดีแลนด์-เอพี-พฤกษา" ประสานเสียงทำตามสัญญาเคร่งครัด (ประชาชาติฯ)
# ผลกระทบ: ยังไม่แน่นอนในทางปฎิบัติว่าจะบังคับใช้ ระยะสั้นหากเป็นจริง จะทำให้อุปสงค์หายไปส่วนหนึ่ง แต่ในระยะยาวจะดี คือ ซื้อแล้วอยู่จริง ไม่สร้างอุปสงค์เทียมในอุตสาหกรรม
+/• จับตาหุ้น เข้า-ออก SET50 และ SET 100 วันนี้เริ่มมีผล
# สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 6 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, DELTA, GLOW, KTC, RATCH, TOA
# สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 6 หลักทรัพย์ คือ BCP, KCE, PSH, SAWAD, TPIPP, WHA
# สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 11 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, BLA, DELTA, ERW, GLOW, PRM, RATCH, RS, THANI, TOA, TTW
# สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 11 หลักทรัพย์ คือ ANAN, BA, BEC, BIG, JMART, JWD, MC, MONO, THCOM, TTA, UNIQ
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10669