- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 02 July 2018 16:47
- Hits: 1931
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Daily Strategy At the Open
Market summary
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเผชิญกับแรงขาย โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงขายเด่นใน GGC, PTTGC ภายหลังมีข่าวบริษัทตรวจพบปริมาณวัตถุดิบคงคลังไม่ตรงกับที่แจ้ง และกลุ่มก่อสร้างอย่าง CK, STEC, UNIQ และหุ้นใหญ่หลายตัวอย่าง CPALL, AOT, BH, CPN ก็มีแรงขายเช่นกัน ณ.สิ้นวัน SET กลับมาปิดที่ 1,595.5 จุด (-3.9 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 6.4 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.6 หมื่นลบ.
นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยที่ 2,823 ล้านบาท แต่เปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 16,419 สัญญา
Investment theme
สัปดาห์นี้ จับตา Tradewar และทิศทางราคาน้ำมัน: สัปดาห์นี้มีปัจจัยต่างประเทศสำคัญ อย่างเรื่องการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนและราคาน้ำมันดิบที่คาดจะส่งผลให้ SET ผันผวน โดยสำหรับเรื่องสงครามการค้า วันนี้ประเทศแคนาดาได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 10-25% มูลค่าสูงกว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยสัดส่วนการค้าระหว่าง 2 ประเทศอยู่ในขั้นตอนการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์สูง ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศแคนาดา ในขณะที่วันที่ 6 ก.ค.นี้ สหรัฐและจีนจะครบกำหนดการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากว่าพันชนิดมูลค่า 3.4-5.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยเราประเมินว่าตลาดทุนได้ปรับตัวลงสะท้อนวงเงินการกัดกันดังกล่าวไปบางส่วนแล้ว อย่างไรก็ตามแนะจับตาสินค้ากลุ่ม IT และข้อกำหนดการลงทุนต่างๆจากประเทศจีน ซึ่งเป็นปัจจัยความเสี่ยงหลักต่อเรื่องสงครามการค้า และในสัปดาห์นี้อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญนั่นคือ ทิศทางราคาน้ำมันดิบโลก ภายหลัง Trump ออกมาเผยอย่างไม่เป็นทางการว่าซาอุดิอาระเบียตกลงเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 2.0 ล้านบาร์เรล/วัน (การประชุม OPEC ที่ผ่านมา ตลาดประเมินเพียง 0.7-1.0 ล้านบาร์เรล) ประเด็นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันและการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานในสัปดาห์นี้
Investment Theme: สำหรับนักลงทุนระยะยาว คงคำแนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน Trade war ซึ่งจะมีผลจริงในวันที่ 6 ก.ค. แนะจับตาข้อสรุปการกีดกันการลงทุนจากประเทศจีน โดย CFIUS ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยยะต่อชนวนสงครามการค้า และสำหรับนักลงทุนระยะสั้นเรามองกรอบการเก็งกำไรบริเวณ 1,600+/- จุด แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่ม Goods ที่ได้รับผลกระทบจาก Tradewar และหันเข้าลงทุนกลุ่ม Domestic
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา - ธปท.รายงานตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. 13.1% เกินดุลการค้า 2,695 ล้านเหรียญสหรัฐ / ตลาดหลักทรัพย์เริ่มใช้ SETCLMV, SETTHSI Index มีผลแล้ววันนี้/ ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าคาดที่ 0.5% เป็น 5.25%
Stock pick : N/A
Trading idea - สำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะเก็งกำไร STEC (ราคาเป้าหมาย 25.0 บาท) / GOLD (คาดกำไรทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้า) / ทยอยสะสม TPIPP (คาดกำไร Q2 ทำสถิติสูงสุด, ปันผล 7.2%)
Technical View
หากไม่หลุด Low 1,585 ลุ้น Rebound สั้นๆ : ดัชนียังคงมีแนวโน้มแกว่ง Sideway Down อย่างต่อเนื่อง ทำให้สิ้นสัปดาห์ดัชนีปิดหลุดแนวรับสุดท้ายของ Uptrend Line ระยะยาว จึงมองว่าหากหลุด Low ที่ 1,585 จะมีแนวโน้มแกว่งตัวลงทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1550 อย่างไรก็ตามเนื่องจากหลังตลาดปิด Brent +2.09% จึงคาดว่าอาจมีแรง Rebound สลับระหว่างวัน แต่ยังคงมองเป็นเพียงการ Rebound สั้นๆ เท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : จังหวะ Rebound ระหว่างวันยังมองเป็น โอกาสเทรดสั้นๆ หรือ ขายเพื่อลดพอร์ต แต่หากหลุด 1585 แนะนำ Stop Loss 2) ไม่มีหุ้น : หากไม่หลุด 1585 มองเป็นโอกาสเล่น Rebound สั้นๆ มองกรอบการแกว่ง 1585-1610
แนวรับ : 1585, 1550 แนวต้าน : 1610, 1620
Keep an eye on…
ปัจจัยต่างประเทศ : จับตาปัญหา Trade war / 5 ก.ค. รายงานการประชุม Minute
ปัจจัยในประเทศ : -
หุ้นเทคนิค :
KBANK (B 190.00-192.00, Tp 196.00// 200.00, Cut 188.00)
BANPU (B 19.20, Tp 20.50, Cut 19.00)
นักวิเคราะห์ : สรพล วีระเมธีกุล / วิจิตร อารยะพิศิษฐ / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-5000
OO10657