- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 27 June 2018 16:58
- Hits: 4195
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ราคาน้ำมันปรับขึ้นดี หวังช่วย SET”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index รีบาวด์ 1.70 จุด ปิดที่ 1623.98 จุด แกว่งแคบสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 48.6 พันล้านบาท มีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มหลัก เช่น CPALL, KBANK,IVL และ TRUE มีความคาดหวัง Window Dressing และโอเปกเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันต่ำกว่าคาด แต่ปัจจัยลบคือ สงครามการค้า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ และกระแสเงินไหลออก ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ บัญชีหลักทรัพย์ 0.8 พันลบ. และ ต่างประเทศ 0.08 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิ คือ สถาบัน 0.45 พันลบ. และรายย่อย 0.43 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET กลับมามีความหวังในระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น หลังทรัมป์มีนโยบายคว่ำบาตรประเทศที่ไปซื้อน้ำมันจากอิหร่าน อาจมีการเก็งกำไรหุ้นกล่มพลังงาน และมีแรงเสริมจาก Window Dressing บ้าง แต่เรื่องสงครามการค้าเริ่มมีความสับสนในประเด็นว่าจะ จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลกและจีนหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงแสดงความเห็นแตกต่างกัน ส่วนเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออกจึงอาจได้รับผลลบได้ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบแบบบวก รอดูสถานการณ์มากกว่า ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +6 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การที่ SET ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้หุ้นพื้นฐานดี Blue Chip หลายตัวย่อลงมาให้ซื้อได้ เช่น AOT, ADVANC, BBL, CPALL, KBANK, PTTGC และ SCC เป็นต้น นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1620-1660 จุด
Update หุ้นเด่น: CPALL ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง แม้ธุรกิจค้าส่งเพียงทรงตัว ผลพวงจากอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG) ปรับขึ้นดี และการขยายสาขาเพิ่ม มีการขยายสาขาในเชิงรุก ร้านสะดวกซื้อสะสมมากถึง 10,533 แห่ง ณ 1Q61 คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าดีเป็น 14%/16% ตามลำดับ คงคำแนะนำ ซื้อ ถือเป็นตัวแทนกลุ่มพาณิชย์ ที่กำลังฟื้นตัวสูงตามภาวะเศรษฐกิจไทย ด้วยราคาพื้นฐาน 95.00 บาท ประเมินด้วยวิธี DCF แม้ว่าธุรกิจค้าส่งแบบ cash and carry ที่ต่างประเทศได้ส่งผลขาดทุนเข้ามาในระยะนี้ก็ตาม แต่คาดว่าจะส่งผลดีในระยะยาวต่อไป เมื่อสามารถกลับมาเป็นกำไรได้
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1640-1650, 1660 โดยมีแนวรับ 1620-1600
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า รับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวดีขึ้น
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ และจากการที่นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกต่อข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐที่ยังคงขยายตัวในเดือนเม.ย.
# ดอลลาร์ได้รับปัจจัยหนุนหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.882% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.028% เมื่อคืนนี้
+/- เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แสดงความเห็นที่ต่างกันเกี่ยวกับการเก็บภาษีประเทศคู่ค้า
# นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยในทางตรงกันข้ามว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้
-ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศ สหรัฐ เม.ย.61 ยังเพิ่มขึ้นดี แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลง
# สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.4% ในเดือนเม.ย. ลดลงจากระดับ 6.5% ของเดือนมี.ค. แต่ราคาบ้านยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และปริมาณสต็อกบ้านในระดับต่ำ
# ทางด้าน Conference Board ได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งบ่งชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 126.4 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 128.0 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 128.1 โดยผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองทรงตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่ไม่มีความเชื่อมั่นมากนักต่อทิศทางในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
+ จีนชะลอโครงการ Made in China 2025
# แหล่งข่าวทางการทูตและสื่อมวลชนจีนเปิดเผยว่า ทางการจีนได้เริ่มชะลอส่งเสริมโครงการ "Made in China 2025" ซึ่งเป็นกรอบแนวนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตของจีน ที่ได้สร้างความกังวลให้กับประเทศชาติตะวันตก และเป็นสาเหตุที่สหรัฐใช้อ้างเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในอนาคต (Money Channel)
- มูดี้ส์ คาดอุตสาหกรรมยานยนต์ จะได้รับผลกระทบมาก หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าจริง
# มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลกระทบในวงกว้าง หากสหรัฐมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จริง เนื่องจากการเก็บภาษีนำเข้าจะก่อให้เกิดอุปสรรคในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน
- สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน
# นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทวีตข้อความระบุว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ขู่ทุกประเทศทั่วโลกให้ยุติการตั้งกำแพงการค้าต่อสินค้าสหรัฐ มิฉะนั้นจะต้องพบกับมาตรการตอบโต้จากสหรัฐ
# จากข่าวข้างต้นทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกได้รบผลกระทบในทางลบ มีการกลับเข้าไปซื้อทองคำและพันธบัตรที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- สงครามการค้าสหรัฐกับประเทศอื่นๆยิ่งร้อนแรง
# มีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีแผนที่จะจำกัดการลงทุนของจีนในบริษัทด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ และจะห้ามบริษัทสหรัฐส่งออกเทคโนโลยีให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง
# Ifo เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนีร่วงต่ำสุดรอบกว่า 1 ปีจากพิษสงครามการค้า
+ ราคาน้ำมันปรับขึ้น สหรัฐบังคับไม่ให้ซื้อน้ำมันจากอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 2.45 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 70.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 76.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐได้สั่งห้ามบริษัทน้ำมันซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐทำการคว่ำบาตร นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการส่งออกน้ำมันของลิเบียยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเช่นกัน
# รายงานระบุว่า ขณะนี้อิหร่านส่งออกน้ำมันมากกว่า 2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
- มีกระแสข่าวว่า ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป 20%
# ผลกระทบ: คาดว่าหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบด้านลบคือ KCE เพราะมีการจำหน่ายสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร (PCB) ไปให้ค่ายรถยนต์ยุโรปเป็นสัดส่วนที่มากสุด ประเทศที่ส่งออกไปมากคือ เยอรมันและฝรั่งเศส ทั้งนี้จากสถิติพบว่ารถยนต์จากยุโรปส่งออกไปสหรัฐฯในสัดส่วน 25% จากทั้งหมด คำแนะนำปัจจุบัน KCE คือ ซื้อ เพราะได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่าและราคาวัตถุดิบทองแดงต่ำลง เมื่อทราบผลกระทบที่ชัดเจนขึ้น ก็จะสะท้อนไปยังประมาณการและราคาพื้นฐานในอนาคต
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นไม่มาก รับราคาหุ้นพลังงาน และหุ้นเทคโนเพิ่มขึ้นดี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,283.11 จุด เพิ่มขึ้น 30.31 จุด หรือ +0.12% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,561.63 จุด เพิ่มขึ้น 29.62 จุด หรือ +0.39% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,723.06 จุด เพิ่มขึ้น 5.99 จุด หรือ +0.22%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นกว่า 3% นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นปัจจัยหนุนตลาดเช่นกันอย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายและจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า
• ทองคำปรับลง เพราะดอลลาร์แข็งค่า และตลาดหุ้นฟื้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 9 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 1,259.9 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือนเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นหุ้น นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังส่งผลให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ประกาศภายในสัปดาห์นี้
# ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค.,ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2561 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ SCB: มองราคาหุ้นร่วง นักลงทุนต่างชาติกังวล หลังใช้เงินลงทุนไอทีหนัก
# SCB มองราคาหุ้นร่วง จากนลท.กังวล หลังใช้ลงทุนไอทีหนัก ทางธนาคารจึงแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการชะลอเงินลงทุนจากเดิมที่จะลงทุนหนักในปี2561 เปลี่ยนเป็นลงทุนชะลอการลงทุนให้แล้วเสร็จในปี 2562นอกจากนี้ได้ยืนยันว่าลูกค้าใหญ่ วินด์ วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ -JAS ยังไม่เบี้ยวหนี้
#สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน NPL มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ธนาคารฯ ตั้งสำรองลดลงโดยไตรมาส 1/2561 ที่ผ่านมาธนาคารฯ ได้มีการตั้งสำรองอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับไตรมาสที่1/2560
# SCB ผนึก รพ.สมิติเวช เปิด "The FIRST Lounge & SCB Investment Center"และพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่นเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง
# คำแนะนำ ถือ สำหรับ SCB ที่ราคาพื้นฐาน 152.00 บาท
-/+ KBANK: คาดรายได้ค่าธรรมเนียมปี 61 ลดลงราว 6-8%
# ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คาดว่ารายได้จากค่าธรรมเนียมปี 61 จะลดลงราว 6-8% จากปีก่อน หลังจากมีโปรโมชั่นยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา โดยจะเริ่มส่งผลกระทบในไตรมาส 2/61 เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก โดยธนาคารมีแผนการบริหารต้นทุนเพื่อรักษาผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
# คำแนะนำ ซื้อ สำหรับ KBANK ที่ราคาพื้นฐาน 88.00 บาท
-/• ส.อ.ท.คาดส่งออกเหล็กปีนี้วูบ 2 แสนตัน มูลค่าเสียหาย 6 พันลบ.
# นายกรกฎ ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบแล้วจากการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐในอัตรา 25% และ 10% โดยคาดว่าปีนี้การส่งออกเหล็กของไทยไปสหรัฐฯ จะหายไปประมาณ 200,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 6,000 ล้านบาท จากปกติที่มีการส่งออก 300,000 ตัน มูลค่า 10,000 ล้านบาท
# SCB เคยประเมินว่าปริมาณส่งออกเหล็กของไทยไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง 2 แสนตัน หรือเพียง 9% ของปริมาณเหล็กส่งออกทั้งหมดของไทยในปีที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯไม่ได้เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย โดยผลิตภัณฑ์เหล็กของไทยที่คาดว่าจะสามารถส่งออกไปสหรัฐฯได้น้อยลง ประกอบไปด้วย ท่อเหล็กเชื่อมตะเข็บ ท่อเหล็กไร้ตะเข็บ เหล็กแผ่นเคลือบ และเหล็กแผ่นรีดเย็น
-/• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยว ไตรมาส 2/61 ลดลง
# ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศ (สทท.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ระดับ 94 อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติเล็กน้อย โดยลดลงจากระดับ 101 ในช่วงไตรมาส 1/2561
# ผลกระทบ: พอย่างเข้าสู่ Low Season การท่องเที่ยว ก็มีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้ ยังผลให้หลักทรัพย์ กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยวระยะนี้ซบเซาไปด้วย แต่หุ้นพื้นฐานดีในกลุ่มนี้ที่น่าทยอยสะสมเพื่อการลงทุนคือ CENTEL และ MINT สำหรับ ERW ไตรมาสนี้จะมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงและตกแต่งโรงแรม JW Marriott มากเสียหน่อย
-/• BTS ขัดข้อง กสทช.นัด BTS, DTAC และ TOT วางแนวทางแก้ปัญหา
# ตามที่สำนักงาน กสทช. ได้ส่งรถตรวจสอบการใช้งานคลื่นความถี่วิทยุและการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ออกวิ่งตรวจสอบสัญญาณตั้งแต่เวลา 7.00 น. ของวันนี้ (26 มิ.ย. 61) เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้รถไฟฟ้าสาย สีเขียว ขัดข้องนั้น ขณะนี้ได้รับผลตรวจสอบแล้ว ในวันพรุ่งนี้ (27 มิ.ย. 61) เวลา 10.30 น. สำนักงาน กสทช. จึงเชิญ TOT DTAC และ BTS เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบการใช้งานคลื่นความถี่วิทยุและการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมทั้งหารือเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาระบบรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวขัดข้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟ้ฟ้า BTS สายสีเขียว
-/• TRUE ได้รับอันดับเครดิตองค์กรคงไว้ที่ BBB+ สภาพคล่องตึงตัวแต่น่าจะยังบริหารได้
# ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร "บ. ทรู คอร์ปอเรชั่น" ที่ "BBB+" และหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนที่ "A-" แนวโน้ม "Stable"
# ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่ตึงตัวแต่คาดว่าบริษัทจะบริหารจัดการได้ แหล่งสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับไม่น้อยกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนมีนาคม 2561 อีกประมาณ 8.6 พันล้านบาท บริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 3.75 หมื่นล้านบาทและค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนอีกประมาณ 5.1-5.3 หมื่นล้านบาทซึ่งรวมค่าใบอนุญาตที่ต้องชำระตามกำหนด ทั้งนี้ โดยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวน 2 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) ซึ่งจะชำระโดยการออกหุ้นกู้ทั้งจำนวน บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ส่วนเงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์ให้แก่กองทุนรวมฯ ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่าจะถูกสำรองไว้เพื่อใช้ชำระค่าใบอนุญาตในปี 2563 บริษัทก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาใช้เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องของบริษัทได้ในกรณีที่จำเป็น
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10515