- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 June 2018 17:35
- Hits: 1185
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาดตลาดยังให้น้ำหนักต่อการประชุมธนาคารกลางโลกทั้งสัปดาห์ ซึ่งมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ตามแผน จะหนุน dollar แข็งค่าขึ้นกดดันราคาน้ำมันโลกแกว่งตัวลงต่อ ขณะที่ในประเทศยังได้แรงหนุนจากกระแสบอลโลก กลยุทธ์เน้นหุ้น Domestic Play (แบงก์ ก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และค้าปลีก) ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ และกำลังซื้อที่เพิ่มช่วงสั้น จากกระแสบอลโลก Top picks BJC(FV@B69) และ PLANB([email protected])
ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้ …..SET Index แกว่งผันผวนในกรอบแคบ
วานนี้ SET Index แกว่งผันผวนในกรอบแคบก่อนที่จะปิด 1,723.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.07 จุด หรือ +0.06% ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 3.72 หมื่นล้านบาท กลุ่มที่ฟื้นตัวคือ ธ.พ. จากหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มปรับตัวขึ้น KBANK (+1.54) ตามด้วย SCB (+1.1) และ BBL (+0.51) ขณะเดียวกันยังได้แรงซื้อกลุ่ม ICT เข้ามาหนุน โดย TRUE (+1.47%) THCOM (+1.08%) ส่วน DTAC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงกว่า 5.91% ทำ high ในรอบ 4 สัปดาห์ ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นยัง Laggard ปรับตัวขึ้นคือ CPF และ SCC อีกหนึ่งหุ้นที่ราคาปรับขึ้นโดดเด่นคือ AMARIN เพิ่มขึ้น 11.32% ราคาทำ new high ในรอบเกือบ 6 สัปดาห์ รับกระแสบอลโลก หลังได้ลิขสิทธิ์ร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ตรงกันข้าม กลุ่มที่ปรับตัวลงมากสุดคือ พลังงาน โดย กลุ่ม ปตท. PTT PTTEP PTTGC ยังปรับตัวลงต่อ
คาด SET Index ยังคงแกว่งผันผวน แนวรับ 1,710 จุด แนวต้าน 1,730 จุด คาดยังให้น้ำหนักต่อการประชุมธนาคารกลางโลกทั้งสัปดาห์ ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ตามกำหนด ซึ่งหนุน dollar แข็งค่าต่อเนื่อง แต่จะกดดันราคาน้ำมันโลกแกว่งตัวลงต่อ ขณะที่ในประเทศยังได้แรงหนุนจากกระแสบอลโลก หนุนกำลังซื้อในกลุ่มค้าปลีก
เงินเฟ้อสหรัฐฯที่เร่งตัว หนุนให้ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนสิ้นปีมายืนที่ 2.25%
วันนี้จะมีการรายงานเงินเฟ้อสหรัฐของ เดือน พ.ค. ซึ่งตลาดคาดจะเพิ่ม 2.7% yoy อัตราเร่งจาก 2.5% ใน เม.ย. และสูงกว่าในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้น่าจะผลจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง (Cost push) และ Demand pull เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะจ้างงานเต็มที่ (Full employment) สะท้อนจากอัตราการว่างงาน ล่าสุดที่ 3.8% ต่ำสุดในรอบ 18 ปี ในเดือน พ.ค. ซึ่งตอกย้ำว่า Fed ยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามแผนที่วางไว้ได้
วันนี้เป็นวันแรกของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ระหว่าง 12-13 มิ.ย. ตลาดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.0% สะท้อนจากผลสำรวจของ Bloomberg คาดโอกาสในรอบนี้ราว 88.6% และจะขึ้นอีกอย่างน้อย 1 ครั้งภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้สิ้นปี 2561 อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ราว 2.25% และน่าจะขึ้น 3 ครั้งในปี 2562 และ 2 ครั้งในปี 2563 ครั้งละ 0.25% ขึ้นไปทำสถิติสูงสุด 3.5% ใกล้เคียงกับ ก.ย. ปี 2547 ก่อนเกิด Subprime
น้ำมันโลกฟื้นตัวช่วงสั้น คาดปัญหา Oversupply ยังมีอยู่
ด้วยเหตุนี้น่าจะหนุน Dollar Index มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง (ช่วงกลาง เม.ย. - ปัจจุบัน ค่าเงินดอลลาร์ แข็งค่าราว 4.84%) น่าจะกดดันราคาน้ำมันดิบในระยะถัดไป แม้ระยะสั้นอาจจะเป็นราคาน้ำมันฟื้นตัว แต่เป็นเพียงการตอบรับ ต่อกรณีที่ รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิรัก แสดงความเห็นว่า OPEC ยังไม่ควรเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยการผลิตที่หายไปหลังจากสหรัฐคว่ำบาตร เวเนซุเอล่าผลิตวันละ 1.4 ล้านบาร์เรล (หรือราว 4.5%ของกลุ่ม OPEC) และ อิหร่านผลิตวันละ 3.81 ล้านบาร์เรล ราว 11.9% ซึ่งสวนทางกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่รัสเซียและประเทศสมาชิกบางแห่ง เช่น ซาอุดิอาระเบีย ต้องการเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งจะทำให้ ปัญหา Oversupply จะยังอยู่ในช่วง 2H61 อย่างไรก็ตามติดตาม การประชุมกลุ่มโอเปก และประเทศ Non OPEC ที่กรุงเวียนนาวันที่ 22 มิ.ย.
WORK ร่วมทุน BNK48 เพิ่มฐานรายได้และเรตติ้งแก่ WORK
วานนี้ WORK รายงานต่อ ตลท. ถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ BNK48 office ในนาม บริษัท บีเอ็นเค โปรดักชั่น ทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท (จำนวน 4 หมื่นหุ้น) โดย WORK ถือหุ้น 50%, BNK48 office ถือหุ้น 49.99% และนายจิรัฐ บวรวัฒนะ ถือหุ้น 0.01% เพื่อประกอบธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ ออกอากาศทางโทรทัศน์และออนไลน์ และจัดงานกิจกรรมการตลาดและคอนเสิร์ต
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนนี้ ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย กล่าวคือ BNK48 office ที่มีวง BNK48 ซึ่งเป็นวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติไทย (คล้ายกับวงเกิร์ลกรุ๊ปในญี่ปุ่น) และเพิ่งได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นผ่านทางสื่อทีวีและช่องทางออนไลน์ที่เป็น OTT มากขึ้น และจะช่วยหนุนให้ผลประกอบการของ BNK48 office สูงขึ้น (คาดการณ์รายได้ปีนี้ที่ราว 300 ล้านบาท)
ขณะที่ WORK ช่วงที่ผ่านมาเรทติ้งลดลง โดยเฉลี่ย 5 เดือนแรก อยู่ที่เพียง 1.05 (ลำดับที่ 4 รองจากช่อง 7, ช่อง 3 และ MONO) ขณะที่คาดผลประกอบการ 2Q61 มีแนวโน้มไม่สดใส เนื่องจาก Utilization rate ลดลงมากเทียบกับปีก่อนจากที่มีความน่าสนใจลดลง ดังนั้นการร่วมทุนดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มเรทติ้งของ WORK ให้สูงขึ้น จากการที่มีรายการใหม่ๆ เข้ามา และเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้จากช่องทางอื่นนอกเหนือจากค่าโฆษณา โดยความร่วมมือแรกที่จะเกิดขึ้นคือรายการเกมส์โชว์ร่วมกับวง BNK48 เริ่มออกอากาศในเดือน ก.ค.61 ซึ่งอาจจะถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ WORK(FV@B48) แม้ยังคงคำแนะนำ Switch แต่ข่าวนี้น่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นในระยะสั้น
PLANB ร่วมทุน BNK48 35% ต่อยอดธุรกิจระยะยาว
ก่อนหน้านี้ PLANB([email protected]) ได้เข้าถือหุ้น BNK48 สัดส่วน 35% ซึ่งคาดว่าน่าจะเอื้อประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ในขยายฐานการตลาด และต่อยอดการทำธุรกิจทั้ง 2 ฝ่าย ถือเป็น win-win เพราะ BNK48 มีฐานผู้ชมจำนวนมากและทุกวัย ขณะที่ PLANB มีประสบการณ์ด้านการทำสื่อโฆษณาสื่อนอกบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในธุรกิจ Sport Marketing ร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย (PLANB หา sponsor ให้ทีมชาติไทย และจะมี ส่วนแบ่งรายได้จาก sponsor พร้อมกับการขายสื่อโฆษณา) และ อีก event คือ การขาย sponsorship ในงาน BNKxช้างศึก (BNK48 สู้ ช้างศึก) PLANB จะได้ทั้งส่วนแบ่งรายได้จาก sponsor สื่อโฆษณา และ ขายของที่ระลึก เป็นต้น ซึ่ง PLANB ยังไม่รวมผลกำไรที่จะเกิดขึ้นจากการถือหุ้นครั้งนี้
ประมาณการเดิมของ PLANB คาดว่าจะมีกำไร 718 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.20 บาท ในปี 2561 และเพิ่มเป็น 816 บาท และ 0.23 บาทในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้น 15% และเพิ่มอีก 17.3% ในปี 2563 และระยสั้นยังได้แรงหนุนจากกระแสบอลโลก จึงแนะนำให้สะสม
ต่างชาติสลับมาขายหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อย และยังขายหุ้นไทย
วานนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียหยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันเฉลิมฉลองหลังผ่านช่วงถือศีลอด และหยุดยาวไปถึงวันที่ 19 มิ.ย. 61 ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อย 42 ล้านเหรียญ (หลังซื้อสุทธิ 6 วัน) แต่แรงซื้อขายเบาลง และมีเพียงตลาดหุ้นไต้หวันที่ถูกซื้อสุทธิ 20 ล้านเหรียญ ตรงข้ามกับตลาดหุ้นอีก 3 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ 9 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 19) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 5 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิอีก 52 ล้านเหรียญ หรือ 1.66 พันล้านบาท (ขายสุทธิวันที่ 6) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 737 ล้านบาท (ซื้อสุทธิมาแล้วกว่า 12 วัน มีมูลค่ารวม 2.02 หมื่นล้านบาท)
ทางด้านตราสารหนี้ ต่างชาติสลับมาขายสุทธิเล็กน้อย 412 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 10 วัน มีมูลค่ารวม 5.93 หมื่นล้านบาท) ส่วน Bond Yield 10 ปี ของไทยยังยืนอยู่ระดับ 2.77%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO9952