- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 June 2018 17:35
- Hits: 1158
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic and Laggard Play//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ตามคาดเนื่องจากขาดปัจจัยบวกใหม่หลังการประชุม G7 จบท่ามกลางความไม่แน่นอน และนักลงทุนยังรอติดตามปัจจัยสำคัญหลากหลายประเด็นตลอดทั้งสัปดาห์นี้ แรงขายส่วนใหญ่ยังมาจากนักลงทุนต่างชาติราว 1.7 พันลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิบางลงเหลือ 738 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index ยังคงอยู่ในช่วงแกว่งตัว Sideways พักฐานต่อเนื่องโดยวันนี้ตลาดจับตาดูการพบกันของโดนัลด์ ทรัมป์และคิม จอง อึนเป็นครั้งแรก แม้คาดว่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจนในการพูดคุยเพียงครั้งเดียว ขณะที่ตลอดช่วงที่เหลือของสัปดาห์ต้องติดตามการประชุม FED ECB และ BoJ ว่าจะดำเนินนโยบายการเงินต่อจากนี้อย่างไร หากโทนโดยรวมออกมาค่อนข้างผ่อนคลาย เราคาดว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ในระยะถัดไปหลังผ่านพ้นช่วงพักฐาน เรายังชอบกลุ่ม Domestic Play มากกว่า Global Play
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้น Domestic และ Laggard//Accumulate on Dip
หุ้นเด่นเดือนมิ.ย. : BGRIM, GLOBAL, MTC, PCSGH, TVO
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$50ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไทย US$52ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไต้หวัน US$20ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาค ตลาดรอผลการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือที่จะมีขึ้นในวันนี้
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> CPF <<
ราคาหมูในเวียดนามขยับขึ้นแรง (อยู่ที่ 40,000-45,000 ด่องต่อกก.) เหนือต้นทุนการเลี้ยง (ที่ 34,000 ด่องต่อกก.) แล้ว ช่วยหักล้างธุรกิจหมูในไทยที่ยังน่าจะขาดทุนต่อเนื่องและธุรกิจไก่ที่ยังไม่สดใสได้
ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นบวกต่อกำไรใน 2Q18 ที่จะฟื้นตัว และจะยิ่งฟื้นชัดเจนใน 2H18 เพราะธุรกิจทั้งไก่และหมูจะกลับมาทำกำไรได้
แม้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นจนเหลือ upside เพียง 8% จากราคาเป้าหมาย 28 บาท แต่เงินบาทที่อ่อนค่าและราคาหมูในเวียดนามที่ยังขยับขึ้นเป้นประเด็นหนุนการเก็งกำไรได้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) KTB แนวโน้มกำไร 2Q18 อาจสร้าง negative surprise จากการตั้งสำรองฯที่เราคาดว่าจะสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของ NPL ในกลุ่มเกษตรกรที่ผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังคาดว่า NIM จะชะลอเล็กน้อยเป็น 3% จาก 3.02% ในไตรมาสก่อน โดยรวมแล้วน่าจะทำให้กำไรสุทธิ -8.5% Q-Q เป็น 6.2 พันล้านบาท หากเป็นไปตามคาด กำไรงวด 1H18 จะคิดเป็น 55% ของประมาณการทั้งปีที่คาด +5% Y-Y (2.36 หมื่นล้านบาท) เราจึงยังคงประมาณการไว้ แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 19.50 บาทจากเดิม 21.80 บาทตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของ NPL และการตั้งสำรองฯตามมาตรฐานบัญชี IFRS 9 เราลดคำแนะนำจากซื้อ เป็นถือ หรือ switch เป็น TISCO (ราคาเป้าหมาย 98 บาท)
(+) ORI แผนธุรกิจของบริษัทย่อย 'One Origin' ที่เน้นการสร้าง Recurring income จะช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาวและเป็นการกระจายความเสี่ยงของรายได้ของกลุ่ม ORI โดย One Origin วางแผน 5 ปีพัฒนาโรงแรม ออฟฟิศ และอาหาร รวมมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านบาท (โรงแรม : ออฟฟิต : อาหาร = 70 : 20 : 10) ในพื้นที่กทม. EEC และจังหวัดศักยภาพอย่างพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2019 และมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มจากการขายสินทรัพย์เข้า REIT ในอนาคต เรายังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 25.40 บาท (PE 18 เท่า)
(+) SEAFCO คว้างานเพิ่มจาก One Bangkok Phase 4 มูลค่า 600 ล้านบาท หนุนให้ Backlog ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 4 พันล้านบาท และมีโอกาสรับงานเข้ามาเติมจากงานที่อยู่ระหว่างการประมูลอีกราว 9.8 พันล้านบาท ด้วย succession rate 30-40% ส่วนแนวโน้มกำไร 2Q18 คาดโตเด่นทั้ง Q-Q และ Y-Y จากการเริ่มงานก่อสร้างหลักของโครงการใหญ่พร้อมกัน ทั้งรถไฟฟ้าสีส้ม สีชมพู และ One Bangkok เรายังคาดกำไรปกติปีนี้ที่ 277 ล้านบาท โตก้าวกระโดด 79% Y-Y แนะนำซื้ออ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 9.10 บาท (PE 22 เท่า)
(0) JKN แนวโน้มกำไร 2Q18 ลดลง Q-Q เพราะไตรมาสก่อนรับรู้รายได้สูง แต่เพิ่ม Y-Y บริษัทยังคงเป้ารายได้ทั้งปี +20% หลักๆมาจากรายได้ขายลิขสิทธิ์หนังซีรีย์ ยังไม่รวมส่วนแบ่งกำไรจากการขายละครของช่อง 3 ประมาณ 10 ล้านบาทที่จะเข้าใน 2H18 (2-4% ของกำไรต่อปี) ประเด็นลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 6-12 เดือนที่สูงขึ้นใน 1Q18 บริษัทแจ้งว่ามีการจ่ายคืนส่วนหนึ่งแล้วในไตรมาสนี้ ราคาหุ้นปรับลงมาสะท้อนกำไรที่ชะลอใน 2Q18 แล้วและมี upside จากราคาเป้าหมาย 11.50-13 บาท (PE 25-27 เท่า) แนะนำซื้อ
(0) NFC ตลท.ให้ NFC กลับเข้ามเทรดใน SET ตั้งแต่ 15 มิ.ย. นี้ในกลุ่มปิโตรเคมี หลังบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจโดยปัจจุบันเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายแอมโมเนีย แอนโมเนียไฮดอกไซด์ และกรดกำมะถัน และให้บริการคลังสินค้าและโลจิสติกส์ โดยมีคุณณัฐภพ รัตนสุวรรณทวีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 55.84%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
12 มิ.ย.- ประชุมผู้นำสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ
12-13 มิ.ย.- สหรัฐฯ: ประชุม FOMC
14 มิ.ย.- ยูโรโซน: ประชุม ECB
15 มิ.ย.- ญี่ปุ่น: ประชุม BOJ
20 มิ.ย.- ไทย: ประชุม กนง.
(+) ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากตลาดคาดหวังว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือจะออกมาในเชิงบวก
(+) การอ่อนค่าลงของค่าเงิน รวมไปถึงการเจรจาระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือช่วยสร้าง Sentiment เชิงบวกแก่ตลาดยุโรป
(+) นอกเหนือจากการพบกันระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือจะช่วยลดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีและเอเชียลงแล้ว ยังมีข่าวว่าทางการจีนจะทำการควบรวมบริษัทท่อขนส่งพลังงาน 3 แห่งของทางรัฐบาล เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารและตัดสินใจลงทุนมากขึ้น
() ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวอยู่ที่บริเวณ 32.00-32.10 บาท/ดอลลาร์ เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.36 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 66.10 ดอลลาร์/บาเรลล์ หลังทางอิรักออกมาให้สัมภาษณ์ว่ากลุ่ม OPEC ยังไม่ควรที่จะลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 22 มิ.ย. นี้
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.50 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,303.20 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO9951