- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 June 2018 23:09
- Hits: 2974
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“SET ไร้ทิศทาง รอผลประชุมสำคัญหลายเรื่อง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index ปรับลงต่อถึง 11.01 จุด ปิดที่ 1722.04 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 43.4 พันล้านบาท ดัชนีฯกลับมาถูกขายทำกำไรลดความเสี่ยงก่อนจะมีการประชุมสำคัญๆหลายวาระ เช่น G7 เฟด สหรัฐฯพบเกาหลีเหนือ และ ECB เป็นต้น ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นลบในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยประชุม 12-13 มิ.ย.61 นี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทยอยปรับขึ้น รวมทั้งความกังวลสงครามการค้ายังมีอยู่ มีแรงขายในกลุ่มหลัก กดดัชนีฯ แต่ก็มีบางหลักทรัพย์ปรับขึ้นได้ เช่น CPF, KCE และ RS ด้านผู้ขายสุทธิหลักคือต่างประเทศ 3.3 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิหลักคือ รายย่อย 2.1 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสแกว่งแบบไร้ทิศทาง ก่อนมีการประชุมสำคัญหลายวาระในสัปดาห์นี้ แม้ยังมีแรงหนุนดาวโจน์เพิ่มต่อเนื่อง รวมทั้งการเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป มีการเก็งกำไรกลุ่มธนาคารต่อเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงานอาจผันผวนตามราคาน้ำมันที่ลดลง จากอุปทานน้ำมันสหรัฐที่เพิ่ม แต่คาดว่าการประชุมโอเปกยังไม่รีบเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบยังกดดันอยู่ ไม่ให้ไปได้ไกลในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สองในปีนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจการจ้างงานยังร้อนแรง สะท้อนด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี มีทิศทางปรับขึ้น และสงครามการค้า หลังผลประชุม G7 ไม่คืบหน้านัก ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นบวกเรื่องเศรษฐกิจไทยดี สำหรับการประชุมต่างๆ สัปดาห์หน้ามีเรื่องที่ต้องติดตามคือ ประชุมเฟด 12-13 มิ.ย. และการประชุม สหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ 12 มิ.ย. ECB 14 มิ.ย.เรื่องลด QE สัปดาห์ถัดไป-ประชุมโอเปก 22 มิ.ย. ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งตัวบวกแคบๆ ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +12 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ มีแรงกระตุ้น (Catalyst) เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ได้ เน้น Domestic Play ลดความเสี่ยงหุ้นเกี่ยวกับต่างประเทศ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1710-1750 จุด
Update หุ้นเด่น : KCE- ได้รับความสนใจจาก Theme บาทอ่อน เป็นผลดีกับหุ้นส่งออก อีกทั้งมีปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจ ล่าสุดบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 12-15%หลังออเดอร์พุ่ง ขยายกำลังผลิตต่อเนื่อง และผลงาน Q2/61 ดีรับบาทอ่อน ส่วนต้นทุนทองแดงกลับมาทรงตัว คาด KCE พ้นช่วงแย่สุด 1Q61 ไปแล้ว ผลกำไรมีแนวโน้มกำลังจะดีขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับ High Season ของธุรกิจในไตรมาส 3 ความต้องการซื้อสินค้ายังคงแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 42.50 บาท อิงกับ P/E ปี 62 ที่ 16 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีกถึง 18%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators กลับมาเป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนแล้วจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1735-1745, 1750 โดยมีแนวรับ 1710-1705 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1710 จุด
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/• ผลประชุม G7 สหรัฐฯไม่จ่ายภาษีนำเข้า มีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง
# นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนอกรอบการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 7 ประเทศ หรือ G7 ว่า การค้าระหว่างชาติสมาชิก G7 ไม่ควรมีการเก็บภาษีนำเข้ารวมถึงมาตรการกีดกันอื่นๆ ท่ามกลางกระแสวิจารณ์จากการที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมต่อชาติพันธมิตรอย่างแคนาดาเม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
# ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา เปิดเผยว่า ประเทศที่เข้าร่วมการประชุม G7 ทั้งหมดได้ตกลงลงนามในแถลงการณ์ร่วมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันปิดฉากการประชุมดังกล่าว แม้มีความแตกแยกกันบ้างจากการที่สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ได้สั่งการไม่ให้คณะผู้แทนสหรัฐให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมของกลุ่ม G7
+ ประธานาธิบดี ทรัมป์ อาจต้องขออนุญาตสภาครองเกรซก่อนจัดเก็บภาษีนำเข้า
# วุฒิสมาชิกสหรัฐจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันได้เสนอร่างกฎหมายที่จะบีบให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องขออนุญาตจากสภาคองเกรสก่อนที่จะบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งเสนอโดยนายบ็อบ คอร์เกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งวุฒิสภา และวุฒิสมาชิกอีก 9 คนนั้น จะกำหนดให้ประธานาธิบดีต้องยื่นขออนุมัติจากสภาคองเกรสก่อนที่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ ภายใต้กฎหมาย "Trade Expansion Act" มาตรา 232 ที่บัญญัติขึ้นตั้งแต่ปี 2505
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับเพิ่ม แม้อยู่ในช่วงประชุม G7
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,316.53 จุด เพิ่มขึ้น 75.12 จุด หรือ +0.30% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,779.03 จุด เพิ่มขึ้น 8.66 จุด หรือ +0.31% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,645.51 จุด เพิ่มขึ้น 10.44 จุด, +0.14%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สามเมื่อวันศุกร์ (8 มิ.ย.) ขณะที่นักลงทุนเมินความขัดแย้งเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตร ในการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 7 ชาติ หรือ G7 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศแคนาดาในวันศุกร์และวันเสาร์นี้
-/• คาดเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 12-13 มิ.ย.นี้
# นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 12-13 มิ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้แต่ตลาดฯทยอยรับรู้ข่าวไปบ้างแล้ว รอติดตามถ้อยแถลงว่าปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 3 หรือ 4 ครั้ง
-ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตร ประชุม 14 มิ.ย.นี้
# นายปีเตอร์ แพรท สมาชิกคณะกรรมการบริหารของ ECB กล่าวว่าคณะกรรมการ ECB จะหารือกันเกี่ยวกับการถอนตัวจากการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 14 มิ.ย.ที่เมืองริกา ประเทศลัตเวีย
# ทางด้านเจ้าหน้าที่คนอื่นๆของ ECB ได้ออกมาส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกัน โดยนายคลาสส์ นอท ประธานธนาคารกลางเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการของ ECB ด้วยนั้น กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ ECB เดินหน้าใช้มาตรการ QE ต่อไป ส่วนนายเจนส์ ไวด์แมน ประธานธนาคารกลางเยอรมนีกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับลดวงเงิน QE ภายในสิ้นปีนี้
- น้ำมันปรับลง กังวลอุปทานจากสหรัฐ แต่อุปสงค์จีนกลับลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 21 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 65.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์ราคาลดลง 0.3% ซึ่งเป็นการลดลงสามสัปดาห์ติดต่อกัน
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 86 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 76.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ทั้งสัปดาห์ราคาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวลดลงไป 0.5%
# ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ (8 มิ.ย.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น จากการพุ่งขึ้นของการผลิตน้ำมันในสหรัฐ สวนทางกับอุปสงค์ในจีนที่ลดลง ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ เผยแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐมีจำนวนสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะเดียวกัน นักลงทุนรอดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนนี้ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าทางกลุ่มจะยังไม่ปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งนี้
+/• สหรัฐฯจะประชุมกับเกาหลีเหนือ พรุ่งนี้แล้ว
# สำนักข่าว KCNA ของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ ในการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ที่สิงคโปร์
# ในการประชุมครั้งนี้ นายคิมและปธน.ทรัมป์จะแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับ "การสร้างกลไกการรักษาสันติภาพอันถาวรและยั่งยืนในคาบสมุทรเกาหลี" และจะหารือกันในประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน
# เรื่องนี้มีผลกับ SET เพราะหากการประชุมมีความคืบหน้าที่จะบ่งชี้ว่า การเมืองระหว่างประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีก็จะเป็นบวกได้นั่นเอง แต่หลายชาติก็กดดันเกาหลีเหนือในเรื่องปลดอาวุธนิวเคลียร์ก่อนประชุม
+/- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐแกว่งแคบๆ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี แกว่งตัว ปิดศุกร์เป็น 2.9534% ก่อนประชุมเฟด
# ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเช้านี้เป็น 93.50 จุด ค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่าเป็น 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
# ดัชนีความกลัว (VIX) ล่าสุดเพิ่ม 0.4% จากวันก่อนหน้าเป็น 12.18 จุด
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (8 มิ.ย.) หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาสี่วันติดต่อกัน เช่นเดียวกับเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเช่นกัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งด้านนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตรในการประชุมผู้นำกลุ่ม G7 ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเช่น สกุลเงินดอลลาร์ และเยน
• ทองคำปรับลงเล็กน้อย หันไปเก็งกำไรดอลลาร์สหรัฐ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1,302.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ราคาทองปรับตัวขึ้นราว 0.3%
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (8 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตรช่วยพยุงราคาทองไม่ให้ร่วงลงมาก
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ ธปท.รายงานตัวเลขสำรองระหว่างประเทศ 1 มิ.ย.61 ยังแข็งแกร่ง
# ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศ วันที่ 1 มิ.ย.61 อยู่ที่ 212.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 25 พ.ค.61 ที่ 212.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 1 มิ.ย.61 อยู่ที่ 33.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับวันที่ 25 พ.ค.61 ซึ่งอยู่ที่ 33.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาทวันที่ 1 มิ.ย.61 อยู่ที่ 6,801.2 พันล้านบาท จาก 6,796.7 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.61
-TIPCO: มีแนวโน้มว่า 2Q61 ยังจะได้รับผลกระทบจากราคาสับปะรดตกต่ำ
#นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดงาน "โครงการแปรรูปผลสับปะรดสดเป็นอาหารสัตว์ เพื่อแก้ปัญหาสับปะรดล้นตลาด" ณ สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า กระทรวงฯ ได้ดำเนินโครงการแปรรูปผลสับปะรดสดเป็นอาหารสัตว์เพื่อแก้ปัญหาสับปะรดล้นตลาด สำหรับใช้เลี้ยงโคนม เนื่องจากมีผลผลิตสับปะรดออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากถึง 2.24 ล้านตัน แต่ความต้องการสับปะรดเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศและส่งออกมีไม่เกิน 2 ล้านตัน จึงเกิดปัญหาสับปะรดล้นตลาด ทำให้ราคาสับปะรดตกต่ำ (สำนักข่าวอินโฟเควสท์)
# ผลกระทบ: ราคาหุ้นปรับลงมากถึง 35% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) คาดว่าเป็นผลมาจากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ปรับลงมาก นั่นคือ กำไรสุทธิ 1Q61 เป็นเพียง 50 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y ที่มีกำไร 386 ล้านบาท น้อยลงถึง 87% สาเหตุ คือ รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงมาก ปกติแล้วรายได้การแปรรูปสับปะรดส่งออกเป็นสัดส่วนมากที่สุดของรายได้รวมที่ประมาณ 50% เราจึงคาดว่าผลการดำเนินงานงวด 2Q61 ก็จะยังไม่สดใส จากสภาวะล้นตลาดของสับปะรดยังผลให้ราคาขายปรับตัวลงตามราคาวัตถุดิบ อีกทั้งกำไรจากบริษัทร่วมคือ TASCO ปีนี้ก็มีแนวโน้มจะต่ำลงด้วย เพราะประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบที่มี Suppliers คือประเทศเวเนซูเอล่า เราจึงเห็นว่ายังไม่น่าสนใจจะเข้าลงทุนใน TIPCO แม้ราคาหุ้นปรับลงมากแล้ว ปัจจุบันบริษัทซื้อขายด้วย Trailing P/E ที่ 13.5 เท่า และ P/BV ที่ 1.13 เท่า
+BA: บริษัทปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้
# BA ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้เป็นโต 7-10% จากเดิมคาดโต 5% หลังยอด Booking โต 11% คาดผลงานQ2/61 โตกว่า Q2/60 หลังจำนวนผู้โดยสารโต แต่ลดลงจาก Q1/61 เหตุเป็นโลว์ซีซั่น พร้อมกันนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกันกับเครือข่ายพันธมิตรทางการบิน ที่เป็นสายการบินขนาดใหญ่ต่างประเทศเพิ่มเติม 1-2 ราย จากปัจจุบันบริษัทฯมี Codeshare ที่ทำข้อตกลงร่วมกันแล้วกว่า 26 สายการบิน คาดว่าจะทยอยเห็นความชัดเจนได้ในช่วงที่เหลือของปี 2561 นี้ทั้งหมด ซึ่งทำให้ Codeshare ในปีนี้เพิ่มเป็น 30 สายการบิน (Aspen)
# สำหรับโครงการในอนาคต บริษัทฯได้มีแผนที่จะสร้างโรงซ่อมเครื่องบินที่จังหวัดสุโขทัยใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส3/2561 และจะสร้างเสร็จพร้อมเปิดให้บริการไม่เกินกลางปี 2563 ส่วนของธุรกิจโรงครัวการบิน ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างแห่งใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่(Aspen)
# ผลกระทบ: เราเห็นว่า BA มีความสามารถในการแข่งขันสูง และช่วง Low Season ปีนี้จะดีกว่าปีก่อน (ขาดทุนน้อยลง) แล้วกลับมาเติบโตได้ดีในช่วง 4Q61 ซึ่งเป็นฤดูกาลการท่องเที่ยว และมีการใช้สนามบินมาก คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐานที่ 17.20 บาท อิงกับวิธี Sum-of-parts และถือหุ้นใน BDMS และ SPF ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
+ SC: ได้รับรางวัลใหญ่ระดับเอเชีย "Top 10 Developers Awards 2018"
# SC- ได้รับรางวัลใหญ่ระดับเอเชีย "Top 10 Developers Awards 2018" ในงาน BCI Asia Awards 2018 ซึ่งโครงการที่ได้รางวัลปีนี้ ได้แก่ PAVE รามอินทรา-วงแหวน บ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น โดยพิจารณาจากการออกแบบและการพัฒนาโครงการก่อสร้างจนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค (Aspen)
# ผลกระทบ: นับว่า SC เป็นบริษัทที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ และเป็นผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวหรูหราอันดับ 1 ในประเทศไทย คาดการณ์กำไรหลักปีนี้โตโดดเด่นถึง 59% y-o-y แรงหนุนนำมาจากการโอนคอนโดสูง คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลสูง คาดว่าปีนี้เป็น 5.4% คำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 4.43 บาท ด้วย P/E ที่ 9.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 22%
+/- เก็งกำไร CPF ราคาวัตถุดิบถั่วเหลืองลด ผ่านจุดต่ำสุด 1Q61 แล้ว
# ภาวะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT เมื่อคืนนี้ (8 มิ.ย.) สัญญาถั่วเหลืองปิดร่วงลงติดต่อกัน 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ถั่วเหลืองจากจีน สัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 5 เซนต์ หรือ 0.51% ปิดที่ 9.6925 ดอลลาร์/บุชเชล
# ข้อดีคือ ราควัตถุดิบทำอาหารสัตว์ลดลง และหลังประกาศผลการดำเนินงาน 1Q61 ยังมีขาดทุนจากการดำเนินงาน (Core Losses) 117 ล้านบาท ตลาดฯคาดว่าแนวโน้มไตรมาสถัดๆไปจะดีขึ้น เพราะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
# แต่ฝ่ายวิจัยฯ ยังแนะนำเพียง ถือ เพราะราคาเนื้อหมูตั้งแต่ เม.ย.61 ที่กระเตื้องขึ้น เป็นเพราะมาตรการจากภาครัฐเข้าช่วย แต่เราไม่แน่ใจว่าราคาจะยังดีหรือไม่ใน 2H61 ดังนั้นกำไรของกลุ่มจึงยังได้รับแรงกดดันจากเรื่องราคาเนื้อสัตว์อยู่ทั้งหมูและไก่ แต่ขณะที่ราคาวัตถุดิบข้าวโพดกลับเพิ่มสูงขึ้น จึงถือเป็นความเสี่ยงการทำกำไร แนะนำ ถือ เพื่อติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์ว่าจะยั่งยืนเพียงไร กำหนดราคาพื้นฐานที่ 24.00 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่ 18.0 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา :[email protected]
OO9894