- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 01 June 2018 17:16
- Hits: 4737
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“สงครามการค้า-เฟดขึ้นดอกเบี้ย กดดัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับเพิ่มน้อยกว่าคาด 1.83 จุด ปิดที่ 1726.97 จุด ถือว่าปรับเพิ่มในอัตราที่น้อยกว่าเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายสูงมากที่ 99.9 พันล้านบาท แม้ปัจจัยต่างประเทศพลิกกลับเป็นบวก คือ สภานการณ์อิตาลีดีขึ้น ราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัว และดอลลาร์อ่อนค่า แต่วานนี้เป็นวันที่ MSCI มีผลและลดน้ำหนักหุ้นไทย หุ้นพลังงานกลับมาฟื้นตัวดีต่อเนื่อง แต่กลุ่มหลักอื่นๆส่วนใหญ่ถูกขาย เช่น ธนาคาร ผู้ขายสุทธิคือนักลงทุนต่างประเทศถึง 7.9 พันลบ.หลักทรัพย์ 0.8 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 5.4 พันลบ.และรายย่อย3.3 พันลบ แนวโน้มและกลยุทธ์–ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบในเรื่องสงครามการค้าหลังสหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อลูมิเนียมกับ แคนาดา เม็กซิโก และอียู ขณะที่ตัวเลขดัชนีราคาการใช้จ่าย (PCE) บ่งชี้เงินเฟ้อ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยประชุม 12-13 มิ.ย.61 นี้ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นบวกเรื่องธปท.เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ เม.ย.ออกมาดีเช่นเคย อิธิพล MSCI ถ่วงน้ำหนักตลาดไทยลงผ่อนคลายลง หลังมีผลไปเมื่อวานแล้วคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสอยู่ในลักษณะแกว่งแคบ เพราะปัจจัยต่างประเทศกดดัน ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งตัวแคบๆ ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้ากลับมารีบาวด์ 50 จุด ส่วนข่าวที่ยังต้องติดตามคือสหรัฐฯอาจปรับเพิ่มภาษีรถยนต์นำเข้า สงครามการค้า ทรัมป์กลับมาประชุมกับเกาหลี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี กลับมาปรับเพิ่มแต่ยังไม่ถึง 3% สถานการณ์ในประเทศระยะนี้ ปัจจัยบวกเป็นเรื่องเศรษฐกิจไทยเติบโตดีเกินคาด ส่วนระยะกลาง-ยาวยังต้องติดตามเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอน ค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มาก กระทบเงินไหลเข้า-ออก กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดีและมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ มีแรงกระตุ้น (Catalyst) เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ได้ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย เพือล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1710-1760 จุด
Update หุ้นเด่น : CK- คาดว่าจะมีโอกาสเข้าร่วมการประมูลงานใหม่ภาครัฐมากขึ้นใน 2H61 ราว 7.8 แสนล้านบาท ณ 31 มี.ค.61 บริษัทมีมูลค่างานในมือ 6.5 แสนล้านบาทซึ่งยังมั่นคงมาก รวมทั้งมีงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า CKP ด้วย ขณะเดียวกันมีรายได้เงินปันผลเข้ามาประมาณปีละ 1 พันล้านบาทซึ่งสามารถรองรับต้นทุนคงที่ได้ดังนั้นบริษัทจึงไม่ต้องแข่งขันประมูลงานมากนัก ทาง CK ตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 8-10% และ IRR เท่ากับ 10-15% คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 30 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOP ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 12%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แม้ความน่าจะเป็นของตลาดฯมีน้ำหนักเป็นการลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought & Divergence ยังคอยกดดัน แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนแล้วจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1740-1750, 1760 โดยมีแนวรับ 1710-1700 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1720 จุด
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TTCL, AP, EGCO, BEM,BTS, SAT, AUCT, BTSGIF ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ SYNTEC, KTB, SEAFCO, HMPRO หุ้นที่หลุด LH, CBG และที่ให้หาจังหวะTake profit STAR, KKP, PTT, TKN, IHL
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก อลูมิเนียม แคนาดา เม็กซิโก อียู
# นักลงทุนต่างพากันวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระลอกใหม่ หลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% จากแคนาดา, เม็กซิโก และ EU โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU ประสบความล้มเหลว
#ด้านรัฐบาลแคนาดาได้ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าอื่นๆที่นำเข้าจากสหรัฐ ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน โดย EU ได้ประกาศรายชื่อสินค้าสหรัฐหลายร้อยรายการที่จะถูกเรียกเก็บภาษี นับตั้งแต่เนยถั่วไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ ส่วนเม็กซิโกประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกร, แอปเปิล, องุ่น, ชีส และเหล็กแผ่น
-กลับมากังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย หลังตัวเลข PCE ใกล้เคียงเป้าหมายเงินเฟ้อ
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
-/+ ตัวเลขยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดกว่าคาด แต่ดัชนีสัญญาขายบ้านฯอ่อน
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 228,000 ราย
#สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 1.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเมื่อเทียบเป็นรายปี ดัชนีร่วงลง 2.1% โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
-/+ น้ำมัน WTI ลดลง แต่เบรนท์เพิ่มเล็กน้อย
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 67.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
# แต่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 77.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐเพิ่มขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นในตลาด
+/• สหรัฐฯกลับมาพร้อมประชุมกับเกาหลีเหนือ
# นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้ ขณะที่มีข่าวรัสเซียได้ไปพบกับเกาหลีเหนือก่อนแล้ว
# เรื่องนี้มีผลกับ SET เพราะหากการประชุมมีความคืบหน้าที่จะบ่งชี้ว่า การเมืองระหว่างประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีก็จะเป็นบวกได้นั่นเอง
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับขึ้นเล็กน้อย ดอลลาร์อ่อนค่าลง
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับขึ้นเล็กน้อย 2.8754%
# แต่ดอลลาร์สหรัฐกลับมามีแนวโน้มอ่อนค่า ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเป็น 93.992 จุด ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าลงเป็น 32.0855 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
# ดัชนีความกลัว (VIX) ล่าสุดเพิ่มขึ้น 3.3% จากวันก่อนหน้าเป็น 15.43
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐกลับมาปรับลง กังวลสงครามการค้า
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,415.84 จุด ร่วงลง 251.94 จุด หรือ -1.02% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,705.27 จุด ลดลง 18.74 จุด หรือ -0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,442.12 จุด ลดลง 20.34 จุด หรือ -0.27%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา, เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐทันทีซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การทำสงครามการค้าในไม่ช้านี้ โดยความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง ซึ่งรวมถึงหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ขณะที่การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงเช่นกัน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.8 ดอลลาร์ หรือ 0.14% ปิดที่ 1,304.7 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับผลกระทบจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ทยอยประกาศ เพื่อติดตามเฟดขึ้นดอกเบี้ย
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดขายรถยนต์เดือนพ.ค.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ ธปท. เผยเศรษฐกิจไทยเม.ย.ขยายตัวดีจากส่งออก-ใช้จ่ายภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อน ขณะท่องเที่ยวโตชะลอลง
# ธปท.ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเดือนเม.ย.61 ขยายตัวดี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวสูง สอดคล้องกับการขยายตัวของอุปสงค์ต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวในเกือบทุกหมวดการใช้จ่าย ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสอดคล้องกัน ด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวจากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ สำหรับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวชะลอลง ส่วนหนึ่งจากการเหลื่อมเดือนของวันหยุดอีสเตอร์ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวจากรายจ่ายลงทุนเป็นสำคัญ
#อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศและราคาอาหารสดที่กลับมาขยายตัว อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลตามรายรับจากภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิจากการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนในภูมิภาค
#มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวที่ 14.6% จากระยะเดียวกันปีก่อน และหากหักทองคำขยายตัว 14.1% โดยเป็นการขยายตัวในเกือบทุกหมวดสินค้า จากอุปสงค์ต่างประเทศที่ดีต่อเนื่อง และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการใช้จ่ายในเกือบทุกหมวด ยกเว้นในหมวดสินค้าไม่คงทนที่ทรงตัว
• ผู้ว่าฯ ธปท.ไม่ห่วงปัญหาการเมืองอิตาลีกระทบไทย ชี้เงินไหลออกยังปกติตามกลไกตลาด
# ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ปัญหาการเมืองในประเทศอิตาลี ยังไม่มีผลกระทบต่อไทย เพราะตลาดการเงินและตลาดทุนของไทยมีความเชื่อมโยงกับประเทศอิตาลีน้อยมาก ส่วนผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้าออกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ ธปท.ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง
+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง:น่าสนใจ ครึ่งหลังปีนี้เปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่คึกคัก
# คาดว่าจะมีการประมูลงานใหม่มากขึ้นใน 2H61 – จากแผนงานของรัฐบาลเห็นว่าน่าจะมีการเปิดประมูลงานใหม่มากขึ้นใน 2H61 โดยผู้บริหาร CK คาดว่ามูลค่างานที่จะเปิดประมูลในช่วงดังกล่าวไว้ราว 7.8 แสนล้านบาท เริ่มด้วยโครงการทางด่วนพระราม 3 – ดาวคะนอง 3.1 หมื่นล้านบาท โดย TOR น่าจะออกมาเดือนมิ.ย.61 ด้านโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินภายใต้ EEC จะออก TOR วันที่ 18 มิ.ย.นี้ และเปิดประมูล 12 พ.ย.61 สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงมูลค่า 1 แสนล้านบาท คาดว่า TOR จะออกมาเดือนก.ค.นี้ และเปิดประมูลใน 4Q61 ส่วนโครงการรถไฟรางคู่เฟสที่ 2 (จิระ-หนองคาย) มูลค่า 2.61 แสนล้านบาท คาดว่าจะเข้าครม.เดือนมิ.ย.61 และจะเปิด TOR ราว 3Q61 (CK)
# ผลกระทบ: คาดว่าหลักทรัพย์ในกลุ่มนี้จะได้รับความน่าสนใจมากขึ้นจากข่าวเปิดประมูลข้างต้น แม้ปัจจุบันจะมีงานในมือสูงอยู่แล้ว แต่ก็มีโอกาสจะเลือกงานที่ให้กำไรสูงได้มากขึ้น หลักทรัพย์ที่เป็น Top Pick แนะนำซื้อ คือ CK ราคาพื้นฐาน 30.00 บาท และ SEAFCO ราคาพื้นฐาน 9.88 บาท ส่วน STEC แนะนำ ถือ ราคาพื้นฐาน 30.00 บาท เพราะส่วนเพิ่มเริ่มจำกัดเพียง 2%
-/VGI: ราคาร่วง เพราะมี BIG LOT ราคาต่ำ คาดว่ากระทบเพียงระยะสั้น
#- จำนวน 469.7 ล้านหุ้นที่ราคาเฉลี่ย 7.60 บาทต่อหุ้น ต่ากว่าราคาปิดในตลาดวันพุธ 30 พ.ค.61 ที่ 8.40 บาท ในมูลค่ารวมถึง 3,569.9 ล้านบาท ถือว่าเป็นสัดส่วน 6.5% จากจำนวนหุ้นทั้งหมด เป็นการขายมาจากกลุ่มบริษัทแม่คือ BTS ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งซื้อและขาย ล่าสุดเผยขายเพื่อนำเงินไปใช้สิทธิ์แปลง VGI-W1 รวมทั้ง VGI ก็ถูกทำ Big Lot บ่อย เพราะมีนักลงทุนให้ความสนใจมาก ปกติข่าว Big Lot ราคาต่ำจะทำให้หุ้นปรับลงในระยะสั้น แต่ไม่กระทบปัจจัยพื้นฐาน
# ยังคงคำแนะนำ ซื้อ VGI เพื่อการลงทุน ที่ราคาพื้นฐาน 8.66 บาท เพราะเห็นว่าอัตราการเติบโตกำไรปี 61-62 และ 62-63 สดใสเป็น +31%/+18% ตามลำดับ ส่วนเพิ่มธุรกิจในอนาคตมาจาก 1) ปรับขึ้นค่าโฆษณาสื่อนอกบ้าน ซึ่งปัจจุบันอัตราค่าโฆษณาถูกกว่าทีวีมาก และ 2) เพิ่มการโฆษณาในสายรถไฟฟ้าส่วนขยายใหม่ๆ ในอนาคตซึ่งเป็นไปตามกลุ่มบริษัทแม่ BTS ที่ได้รับว่าจ้างให้บริหารเดินรถอีกหลายสาย VGI นอกจามีธุรกิจโฆษณายังมีธุรกิจบริการขำระเงิน และขนส่ง Logistic คือ Kerry
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO9533