- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 23 May 2018 18:50
- Hits: 808
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“จับตา...ศาลรัฐธรรมนูญตีความ สว.-ผลประชุมเฟด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PF (จากถือเป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลง 7.60 จุด ปิดที่ 1760.71 จุด ระหว่างวันดัชนีซื้อขายในช่วงกว้างถึง 16 จุด มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 57.5 พันล้านบาท มีแรงขายทำกำไร หลังดัชนีฯได้ปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้า จากปัจจัยต่างประเทศคือ ยุติสงครามการค้าสหรัฐและจีน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลดลงแล้ว หุ้น PTT ปรับลงเป็นตัวถ่วง กลุ่มธนาคารปรับขึ้นดี จากแนวโน้ม GDP ไทยที่ดีขึ้น ทำให้สำรอง IFRS9 ลดลง หุ้นทีวีดิจิตัลผันผวนหนัก จากการครบกำหนดจ่ายค่าใบอนุญาตวันนี้ และรัฐส่งสัญญาณจะช่วยเหลือใช้ม.44 ในช่วงบ่าย นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อ 2.6 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย 1.3 พันลบ. สถาบัน 1.2 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 0.1 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– วันนี้ตลาดฯจับตาศาลรัฐธรรมนูญตีความที่มา สว. เพราะจะมีผลกับเวลาการเลือกตั้งว่าเป็นไปตามโรดแม็ปหรือไม่ หากไม่ขัดจะเป็นบวก ส่วนต่างประเทศเป็นลบ หลังทรัมป์กลับลำว่าการเจรจาการค้ากับจีนยังไม่ราบรื่น และอาจไม่มีการประขุมกับเกาหลีเหนือ วันนี้มีการติดตามรายละเอียดผลประชุมเฟด 1-2 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่จากคราวที่แล้ว มีโอกาสขึ้นอีกครั้ง มิ.ย.นี้ ข้อดีที่มีคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลดลง บาทแข็งค่าขึ้นดอลลาร์อ่อนค่าลง สถานการณ์ในประเทศระยะนี้ ปัจจัยบวกเป็นเรื่องตัวเลขส่งออก-นำเข้า เม.ย.ออกมาโตดี คาดว่าดัชนีฯมีโอกาสแกว่งตัวแคบๆ เป็น sideways down จากปัจจัยต่างประเทศที่กลับมาไม่ดีนัก ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งแคบ ส่วนระยะกลาง-ยาวยังต้องติดตามเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอน ได้รับปัจจัยลบจาก MSCI ถ่วงน้ำหนักไทยลดลงมีผล 31 พ.ค.61 อีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มาก ส่วนการเมืองไทยยังไม่มีอะไรมากระทบเป็นนัยสำคัญ หากเลือกตั้งได้ ก.พ.62 ตามโรดแม็ปจะเป็นบวก กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ มีแรงกระตุ้น (Catalyst) เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ได้ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้น ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย เพือล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1740-1780 จุด
Update หุ้นเด่น : KBANK – ธนาคารยังคงให้ Guidance แบบอนุรักษ์นิยม ผู้บริหารกล่าวว่าผลกระทบการยกเลิกค่าธรรมเนียมดิจิตอลแบงค์กิ้งยังไม่เห็นในงบฯ 1Q61 แต่จะเห็นตั้งแต่ 2Q61 เป็นต้นไป คาดรายได้ค่าธรรมเนียมปีนี้จะหดตัว 8-6% การตั้งสำรองฯ 1Q61 ต่ำกว่าที่แบงค์ให้ Guidance ไว้ที่ 185bps คงตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 7-5% แม้ว่า 1Q61 จะขยายเพียง 2% ก็ตาม ให้ราคาพื้นฐาน 225 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 15%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เหมือนเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนแล้วจึงปรับลงเพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought & Divergence ยังคอยกดดัน ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1770-1775, 1780 โดยมีแนวรับ 1740-1730
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KBANK, PYLON, GLOW, SYNEX, BEM, THG, STAR, CPT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ EGCO, SAT, IVL, KCE, SNC, GLOBAL, MACO หุ้นที่หลุด PTT, BJC และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น TAPAC, TMB, SEAFCO, MBK
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
•/- เปิดเผยรายงานประชุมเฟด 1-2 พ.ค.ในวันนี้
# นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 1-2 พ.ค. ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
# สำหรับการประชุมซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 1-2 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ พร้อมกับแถลงว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด และการปรับตัวของเศรษฐกิจได้สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
- กลับมาดูไม่ดีนักเรื่องสหรัฐฯเจรจาการค้ากับจีน และการประชุมกับเกาหลีเหนืออาจไม่เกิดขึ้น
# เกิดความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลจีนในการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรบริษัท ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารของจีน โดยถ้อยแถลงดังกล่าวสวนทางกับที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลสหรัฐบรรลุข้อตกลงชั่วคราวกับรัฐบาลจีนในการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรบริษัท ZTE
# ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยหลังจากการพบปะพูดคุยกับนายมูน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ว่า มีโอกาสสูงมากที่การประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะไม่เกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย. ตามที่วางแผนไว้ พร้อมกับย้ำว่า การประชุมสุดยอดจะไม่เกิดขึ้น หากเกาหลีเหนือไม่ยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ
+ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลง ดอลลาร์อ่อนค่า ส่วนบาทเช้านี้แข็งค่าขึ้น
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงอีกสู่ระดับ 3.0657% หลังไปทำยอดสูงสุดใหม่เมื่อวันพุธสัปดาห์ที่แล้วเกิน 3.1% ที่ 3.1048%
# ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้โดยภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
# เช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ 32.0380 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แม้แนวโน้มใหญ่เป็นลักษณะอ่อนค่า
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์นี้
# ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่นักลงทุนให้ความสนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐปรับลง วิตกเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ไม่แน่นอน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,834.41 จุด ลดลง 178.88 จุด หรือ -0.72% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,724.44 จุด ลดลง 8.57 จุด หรือ -0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,378.46 จุด ลดลง 15.58 จุด หรือ -0.21%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (22 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลจีนในการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรบริษัท ZTE ของจีน และยังกล่าวด้วยว่า เขาไม่พอใจต่อผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีขึ้นที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์ที่แล้ว
# ดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับขึ้นดี เวลาไทย 8:17 น. -10 จุด สะท้อนข่าวลบเรื่องการเจรจากการค้าสหรัฐ-จีน
-น้ำมันปรับลง มีแรงขายทำกำไร ตลาดจับตาสต็อกน้ำมันดิบ
# สัญญานํ้ามันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 11 เซนต์ หรือประมาณ 0.2% ปิดที่ 72.13 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 79.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมัน WTI พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบขยับลงในกรอบแคบๆ เพราะยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สหรัฐอาจคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันจากเวเนซุเอลาและอิหร่าน ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
• ภาวะตลาดทองคำ : ปรับขึ้น หลังดอลลาร์อ่อน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 0.09% ปิดที่ 1,292.00 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอีกครั้งหลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐและจีนนอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อในตลาดทองคำเช่นกัน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- ปัจจัยการเมือง: รอผลศาลรัฐธรรมนูญตีความที่มา สว.ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
# วันนี้ต้องคอยติดตามศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติที่มา สว. ว่าจะมีผลทำให้การเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแม็ปคือ ก.พ.62 หรือไม่ หากใช่ก็จะเป็นบวก แต่หากไม่ใช่ การเลือกตั้งล่าช้า ก็จะเป็นผลลบกับ SET ได้
# ย้อนอดีตกลับไป ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ได้มีคำสั่งนัดลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 23 พ.ค. 2561
#ทั้งนี้ สนช. 30 คน ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในบทเฉพาะกาล ที่มีกำหนดให้มีที่มา สว. 2 ประเภท วิธีสรรหา สว.ด้วยการเลือกตรงจากคนกลุ่มอาชีพเดียวกัน และการลดกลุ่มผู้สมัคร สว.เหลือ 10 กลุ่มอาชีพ ขณะที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี 20 กลุ่มและเลือกไขว้กัน
#ขณะเดียวกัน ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญยังได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส.ตามที่สมาชิก สนช.27 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลได้กำหนดประเด็นและอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยและนัดอภิปราย
+/• นายกฯ ยันเตรียมออกคำสั่ง ม.44 ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล
# พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า เตรียมออกคำสั่งตามมาตรา 44 บรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ที่ใกล้จะครบเวลาที่จ่ายค่าสัมปทานงวดที่ 5 ในวันนี้โดยยืนยันว่า จะต้องดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมกับต้องมีการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วย
# จากก่อนหน้าที่หลักทรัพย์กลุ่มนี้ ได้แก่ BEC, RS, WORK, MCOT, MONO รับข่าวดีไปส่วนหนึ่งแล้ว ในเรื่องมาตรการช่วยเหลือ ทั้งพักค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 3 ปี และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายโครงข่ายไปอีก 2 ปี และเปลี่ยนมือใบอนุญาตได้ จึงยังต้องติดตาม ว่ารายละเอียดในการช่วยเหลือจะเป็นอย่างไร เหมือนกับที่จะออกมาครั้งแรกหรือไม่ ซึ่ง ก็จะส่งผลกระทบต่อหลักทรัพย์หมวดนี้ได้ ด้านหลักทรัพย์ที่มีส่วนได้เสียมาก คือ BEC มีมากที่สุด 3 ช่อง และ MCOT 2 ช่อง ส่วนที่เหลือมีรายละ 1 ช่อง
-/+ ผลสำรวจ IAA Survey จุดสูงสุดของ SET ไปไม่ถึง 1,900 จุด
# นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน ยังคงเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยในระยะสั้น ยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ Sidewaysคาด SET Index จะกลับขึ้นไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1,785 จุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม และเมื่อมองภาพที่ยาวขึ้นไปถึงสิ้นปี 2561 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน คาดการณ์จุดต่ำสุดของ ดัชนีระหว่างปี มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,703จุด ซึ่งเท่ากับตัวเลขที่สำรวจในเดือนก่อน
# 3 ปัจจัย ที่จะมีอิทธิพลต่อหุ้นไทยในระยะสั้น คือ กำไร บจ. ค่าเงินบาท และกระแส Fund Flows โดยหากมองภาพยาวไปตลอดทั้งปี ต่อปัจจัยที่ถูกคาดหมายว่าน่าจะส่งผลในด้านบวก บรรดานักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน ให้น้ำหนักประเด็นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผล ประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศจะเป็น 3 ปัจจัยบวกสำคัญ
# 5 รายชื่อหุ้นเด่น ที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 6 สำนักขึ้นไป ประกอบด้วย AOT BBL CPALL IVL PTT
+ ตัวเลขส่งออก-นำเข้า เม.ย.61 เติบโตดี
# ก.พาณิชย์เปิดเผยส่งออกไทยเดือนเม.ย.61 เติบโต 12.34%YoY นับว่าแข็งแกร่งต่อเนื่อง และงวด 4M61 ส่งออกไทยขยายตัวได้ 11.53%YoY
# ส่วนยอดนำเข้าเดือนเม.ย.เพิ่ม 20.36%YoY และ 4M61 โต 17.18%YoY โดยเกินดุลการค้า 673.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
+ ครม.อัดฉีดงบกลางปี 1.5 แสนลบ.เดินหน้าผลักดันโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในมิ.ย.นี้
# พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้หลายกระทรวงร่วมกันเดินหน้าผลักดันโครงการไทยนิยมยั่งยืน ใช้งบกลางปีวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท หลังจาก พ.ร.บ.งบกลางปี 61 มีผลบังคับใช้แล้ว 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมกันเดินหน้าโครงการอัดฉีดเงินผ่านทุกโครงการของทุกหน่วยงานภายในเดือนมิถุนายนนี้
+ สภาพัฒน์ปรับคาดการณ์ GDP ขึ้นเป็น โต 4.2%-4.7%
# หลัง GDP ไตรมาส 1 อยู่ที่ 4.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 4.0%
# และถือว่าสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยยังได้แรงหนุนจากการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวในระดับสูง ขณะที่การใช้จ่ายครัวเรือนเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ผลผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นอย่างมากก็เป็นตัวหนุน GDP ที่สำคัญในไตรมาสนี้ ท่ามกลางการส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับสูงต่อเนื่องทั้งปีนี้ประกอบกับค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่าตั้งแต่ในช่วงเดือน เม.ย.61 น่าจะช่วยทำให้การส่งออกสินค้าในช่วงที่เหลือของปีเมื่อคิดเป็นเงินบาทกลับมาหนุนการเติบโตของ GDP ได้ในไตรมาสต่อๆ ไป (ศูนย์วิจัยกสิกรฯ)
+/- ราคาน้ำมันที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปืโตรฯ แต่อาจกลับส่งผลลบในอนาคต
# ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแม้จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เพราะคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้น
# แต่ต้องติดตามราคาน้ำมัน หากยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องก็จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ (Cost Push Inflation) ก็จะผลักดันให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก เพื่อลดเงินเฟ้อ รวมทั้งกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนได้
# เป็นปัจจัยลบกับหุ้นกลุ่มที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุน เช่น TASCO และ EPG จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แล้วแต่ว่าจะผลักภาะให้ลูกค้าได้แค่ไหน เช่นเดียวกับกลุ่มขนส่งที่จะมีต้นทุนพลังงานมากขึ้น ที่เห็นชัดคือ สายการบิน เช่น THAI, NOK, AAV และ BA เป็นต้น และกลุ่มเดินเรือ เช่น TTA, PSL และ RCL ซึ่งระยะหลังดัชนีเรือเทกอง (Baltic Dry Index) ก็ปรับลงต่อเนื่อง
-/+ DIF: ลูกหุ้นเข้าวันนี้ อาจส่งผลลบระยะสั้น แต่ระยะกลาง-ยาวแนะนำ ซื้อ
# ลูกหุ้นเพิ่มทุน DIF จำนวน 3,830 ล้านหุ้น ราคาต้นทุน 13.90 บาทจะเข้าซื้อขายในวันที่ 23 พ.ค.นี้ ซึ่งลูกหุ้นทั้งหมดคิดเป็น 66% ของจำนวนหุ้นเดิมที่มีอยู่ 5,808 ล้านหุ้น นับว่าเป็นจำนวนที่มาก
# ระยะสั้นอาจมีแรงขายทำกำไร หลังราคาตลาดสูงกว่าราคาต้นทุน ผนวกกับเงินปันผลงวดที่ 2 ของปีนี้จะต่ำ เพราะจ่ายสำหรับ 2 เดือน (พ.ค.-มิ.ย.) เนื่องจากในงวดแรกได้จ่ายสำหรับ 4 เดือนแรกของปีไปแล้วที่ 0.3375 บาท/หุ้น
# คงคำแนะนำ ซื้อ อัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend yield) ปี 61-62 จะเพิ่มเป็น 7.1% และ 7.3% ตามลำดับเทียบกับปี 60 ที่ 6.9% และอายุสัญญาเช่าจะเพิ่มเป็น 21 ปี (จากก่อนซื้อเหลือ 9.5 ปี) และอายุการรับประกันการเช่าก็ยาวนานขึ้นทั้งในส่วน Tower และ Fiber ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 15.90 บาท ด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 12% หากราคาหุ้นอ่อนลง เพราะแรงขายทำกำไร แนะนำให้ซื้อสะสม
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO9164