- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 22 May 2018 16:57
- Hits: 1414
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
"GDP หนุนตลาดหุ้นไทย"
SET Recap
SET ปิดที่ระดับ 1,768.31 จุด เพิ่มขึ้น 14.14 จุด (+0.81%) มูลค่าการซื้อขาย 47,171.15 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก หลังจีน-สหรัฐฯตกลงกันได้ที่จะไม่ทำสงครามการค้าระหว่างกัน นอกจากนี้ยังรับแรงหนุนจากตัวเลข GDP ในไตรมาส 1/61 ของไทยออกมาดีกว่าคาดมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการส่งออกที่ดี ทำให้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP และการส่งออกในปีนี้ด้วย
SET Outlook
คาดดัชนีฯเดินหน้าต่อ แต่ไม่ร้อนแรง .... การตอบสนองต่อข่าว ความสำเร็จในการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน และตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของไทยที่ออกมาดี 4.8% โดยเรามองว่า สองปัจจัยนี้ จะยังคงเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในวันนี้ เพียงแจ่จะไม่สูงมากเท่าวันก่อน นอกจากนี้ เช้าวันนี้ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ (3.05%) และ Dollar Index (93.5) อ่อนค่าลงจากวันก่อน พร้อมกับ Dow Jones Futures ที่ปรับตัวขึ้นด้วย คาดจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเซีย ... ด้านราคาน้ำมันดิบที่ได้อานิสงค์จากการเมืองระหว่างประเทศในตะวันออกกลางและ suuply ที่ลดลง ช่วยหนุนหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี(บางตัว) .... ตัวแปรที่น่าจับตาในวันนี้ ตัวเลขส่งออกของไทย (คาด +12% ; เดือนก่อน +7%) และการประชุม ครม.
Recommendation
ตลาดได้ปัจจัยบวกเข้ามา (การค้าสหรัฐฯ-จีนและ GDP) ช่วยกลบผลลบจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ หุ้นกลุ่มอิงทิศทางตลาดและปัจจัยบวกเหล่านี้ เราแนะนำ KBANK , CPALL จากตัวเลข GDP ไตรมาสแรกออกมาดี การลงทุนรัฐและเอกชนสูงขึ้น เราแนะนำ STEC และ WHA ด้าน หุ้นน้ำมันรับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ยังคงเป็น PTTEP และวันนี้ รายงานตัวเลขส่งออก คาดการส่งออกสินค้าอีเล็คทรอนิคส์ยังเติบโตดี เป็นบวกต่อ KCE และ HTECH
Strategy Picks : GULF , TOA, AP
Technical : BJC, GULF, ORI
* เป็นหุ้นที่แนะนำโดย KTBST ยังไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
Key Factors to Watch
แถลงผลการดำเนินงาน : TU, ILINK, PTG, BA, TTA, TOG
ตัวเลขส่งออกของไทย (22 พ.ค.)
ตัวเลขยอดขายรถของไทย (23-24 พ.ค.)
ศาลรธน.นัดชี้ขาดกฎหมายลูก ส.ส.-ส.ว. (23 พ.ค.)
FOMC Minute (24)
Story of the Day
การส่งออกไทยไตรมาสแรกขยายตัว 11.3% ในขณะที่การส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเลคโทรนิคได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังมีการขยายตัวในระดับสูง ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนเมษายนจะประกาศวันนี้ เราคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเลคโทรนิค เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์
หุ้นในกลุ่มอิเลคโทรนิคที่เราชอบคือ HTECH และ KCE โดยเฉพาะ HTECH ที่ปีนี้กำไรจะมีการเติบโตดีจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์
Today Stock Picks
KBANK (ซื้อ, เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 202 บาท)
ด้วยตัวเลข GDP 1Q-18 ที่ออกมาดี กล่าวคือ ขยายตัว 4.8% จากไตรมาสก่อนที่ 4.0% หรือดีที่สุดในรอบ 5 ปี โดยดีเกือบทุกองค์ประกอบ (C+I+G+X-M) ที่โตมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาคือการลงทุนเอกชน(+3.1%) และภาครัฐ(+4.0%) ขณะที่การบริโภคเอกชนยังโตต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณบวกของเศรษฐกิจ และอาจมีการปรับประมาณการ GDP ปีนี้ขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยอาจขึ้นเร็วกว่าปกติ (Bond Yield ของไทยกระชากขึ้นหลังเห็นตัวเลข GDP วานนี้) ...... หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งอิงกับทิศทางเศรษฐกิจโดยตรงจะเป็นบวกด้วย วันนี้ เราเลือก KBANK ตัวใหญ่ของกลุ่ม …… สินเชื่อรวมเดือน เม.ย. 2018 อยู่ที่ 10.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% MoM และ 4.8% YoY หรือคิดเป็น 0.8% YTD …… ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST 206 บาท ........ (ราคาปิด 193 )
WHA (ซื้อ, เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 4.50 บาท)
ด้วยตัวเลขภาคการลงทุนที่ดีขึ้น เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมฯ ....... กำไรสุทธิ 1Q-18 ของ WHA อยู่ที่ 780 ล้านบาท (+807%YoY, -54%QoQ) แม้การออกพรบ. EEC ที่ล่าช้ากว่าตลาดคาด จะส่งผลให้เกิดการเลื่อนยอดขายที่ดิน ซึ่งเรามองว่าจะสามารถกลับมาขายได้เพิ่มขึ้นใน 2H18 และแนวโน้มรายได้สาธารณูปโภค และไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความสามารถในการขยายธุรกิจ Logistic Hub ที่สูง ...... สัปดาห์นี้ ตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งของหุ้นกลุ่มนิคมฯ คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อ พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง หากผลออกมาและทำให้ไม่มีการเลื่อนการเลือกตั้งหรือเลื่อนไปไม่เกิด 6 เดือน น่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ แต่หากเลื่อนการลงทุนไปเกินกว่านี้ ก็จะออกมาเป็นลบด้วยเช่นกัน ......ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST 4.70 บาท .... (ราคาปิด 4.32)
News Comment
HTECH : มองแนวโน้มกำไรจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือ
จากการเข้าพบผู้บริหารเมื่อวานนี้ ผู้บริหารเปิดเผยว่า 1.) ลูกค้าที่เครื่องจักรเข้าไม่ทันเมื่อปลายปีที่แล้วจำนวน 200 เครื่อง ปัจจุบันได้ครบแล้ว และกำลังจะเพิ่มกำลังการผลิต โดยเพิ่มเครื่องจักรอีก 200 เครื่อง ภายในสิ้นปีนี้ (ปัจจุบันเข้ามาแล้ว 60-70 เครื่อง) ประกอบกับลูกค้ามีการปิดโรงงานแห่งหนึ่งที่ฟิลิปปินส์ เพื่อเปิดใหม่อีกพื้นที่หนึ่งในฟิลิปปินส์ซึ่งใกล้กับบริษัทย่อยของ HTECH ซึ่งถือหุ้นอยู่กว่า 90% (เดิมลูกค้าสั่งจาก บ. ย่อย ที่ HTECH ถืออยู่ไม่ถึง 50%) 2.) ลูกค้าที่ยังสร้างโรงงานไม่เสร็จ คาดว่าจะสร้างเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งเดิมคาดว่าจะเสร็จสิ้นปีนี้ 3.) HTECH จะมีเครื่องจักรเข้ามาอีก 4 เครื่องภายในเดือน มิ.ย. 18 เนื่องจากมีปัญหาคอขวดในกระบวนการผลิตบางกระบวนการ
KTBST: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ HTECH มากขึ้น เนื่องจากลูกค้าใหญ่ 2 เจ้าที่มีปัญหาตั้งแต่ช่วงสิ้นปีที่แล้ว มีการแก้ปัญหาเป็นที่เรียบร้อย และจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตอีก ซึ่งคาดจะส่งผลให้ HTECH ได้รับ order ที่เพิ่มขึ้น โดยภาพรวมเราจึงมองว่าผลการดำเนินงานของ HTECH จะโตต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี ทั้งนี้ ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างปรับประมาณการกำไรสุทธิใหม่ จากเดิมที่เราประเมินราคาเป้าหมาย 6.00 บาท (อิง PE 14.30 เท่า)
ORI : ลุยร่วมทุน "โนมูระฯ" เพิ่ม ผุดมิกซ์ยูส "ออริจิ้น 24" มูลค่า 4 พันล้านบาท
"ออริจิ้น" เดินหน้าร่วมทุน "โนมูระ เรียลเอสเตทฯ" ยักษ์อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเพิ่ม ผุดโครงการมิกซ์ยูส "ออริจิ้น 24" มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท หลังขายหุ้นบริษัทย่อย 49% ให้ "โนมูระ เรียลเอสเตทฯ" เตรียมจ่อบุ๊คกำไรพิเศษ 73.50 ล้านบาท (ที่มา: ข่าวหุ้น)
KTBST: เรามองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าวโดย ORI จะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากรายการดังกล่าวใน 2Q18 ขณะที่ ORI ยังคงมีความชัดเจนมากขึ้นต่อเนื่องในการเพิ่มสัดส่วนรายได้แบบประจำในระยะยาว ทั้งนี้ ปัจจุบัน ORI มีการพัฒนาโครงการที่จะสร้างรายได้ประจำแล้วจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง, โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ, โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี-ศรีราชา และ โครงการ ออริจิ้น 24 มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้น เราคาดว่า ORI จะนำเงินที่ได้ไปต่อยอดลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ORI มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2018 จำนวน 14 โครงการ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 23 บาท โดยเรายังจัด ORI เป็นหุ้นเติบโตเด่นในกลุ่มคาดกำไรสุทธิปี 2018 ของ ORI จะเติบโตโดดเด่น 34% YoY
BANK : สินเชื่อเดือน เม.ย. 2018 เติบโตได้ดีจากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก
ภาพรวมสินเชื่อเดือน เม.ย. 2018 ทั้ง 9 ธนาคารที่เรา cover อยู่ที่ 10.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ 0.5% MoM โดยธนาคารที่มีการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบ MoM คือ LHFG เพิ่มขึ้นได้ 1.7% MoM จากสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเป็นหลัก รองลงมาเป็น KKP และ TCAP เพิ่มขึ้น 1.1% MoM จากสินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้นได้ตามยอดขายรถที่เพิ่มขึ้น ส่วนธนาคารที่สินเชื่อหดตัวลงเมื่อเทียบ MoM มีเพียงธนาคารเดียวคือ TISCO ลดลง 3.1% สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อจาก SCBT ที่ลดลงในสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต ขณะที่สินเชื่อรวม 4M18 กลับมาเพิ่มขึ้นได้ 0.7% YTD โดยมี KKP ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด 7.3% YTD จากสินเชื่อรายใหญ่และ SME รองลงมาเป็น KBANK เพิ่มขึ้น 2.2% YTD จากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก ส่วนภาพรวมของเงินฝากในเดือน เม.ย. 2018 อยู่ที่ระดับ 10.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% MoM (ที่มา: ข้อมูลบริษัท)
KTBST: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคารที่มีการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อได้ดี โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก ซึ่งเราคาดว่า ส่วนหนึ่งมาจากภาคเอกชนที่เริ่มมีการเบิกจ่ายในโครงการภาครัฐออกมาใช้บางส่วน ส่วนเงินฝากค่อนข้างทรงตัว ทำให้เรามองว่า สภาพคล่องในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้หลายธนาคารยังไม่ได้รีบในการหาเงินฝาก โดยในกลุ่มธนาคาร เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนที่ "เท่ากับตลาด" เลือก BBL, KKP และ TMB เป็น Top pick โดยเราชอบ BBL (ราคาเป้าหมาย 218 บาท) เพราะเป็นธนาคารที่มีความเสี่ยงในการตั้งสำรองต่ำจาก Coverage Ratio อยู่ในระดับสูง ส่วน KKP (ราคาเป้าหมาย 82 บาท) ชอบการเติบโตของสินเชื่อที่ทำได้โดดเด่น ประกอบกับ NPL มีแนวโน้มเป็นทิศทางขาลงอย่างชัดเจน และยังชอบ TMB (ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท) เพราะกำไรสุทธิในปี 2018 จะโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคาร
Research Highlights
TVO (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 39.00 บาท)
"ยังมีแนวโน้มราคากากถั่วเหลืองที่ดี"
ราคาขายกากถั่วเหลืองปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในอาร์เจนติน่า ทำให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับความต้องการยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คู่แข่งจากต่างประเทศมีปริมาณการนำเข้าสู่ตลาดไทยที่ลดลง อีกทั้งความต้องการอาหารสัตว์ของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นจากการปศุสัตว์ของไทยที่มีการส่งออกไปจีนมากขึ้น เราประเมินมูลค่า โดยอิงวิธี PE ที่ 15 เท่า ได้ราคาเหมาะสมที่ 39 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ เรามีมุมมองว่ากำไร TVO ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่า TVO จะสามารถจ่ายปันผลที่ดีขึ้นสำหรับผลประกอบการปี 2018
SAWAD (ถือ, ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)
"คาดผลการดำเนินงานในอนาคตยังไม่ดีขึ้นมาก"
จากงานประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (21 พ.ค.) ผู้บริหารได้ให้ความมั่นใจต่อการดำเนินงานในอนาคตจากการขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น แต่จากลูกหนี้ SME จำนวนลูกหนี้ 2 รายที่มีมูลหนี้รวมที่สูงคิดเป็น 6% ของสินเชื่อรวม ส่งผลให้เรามองว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินเชื่อที่อาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อโดยรวม นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทจะต้องอาศันระยะเวลาในการปรับอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น คาดอัตราผลตอบแทนปี 2018 ที่ 22.5% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว จากการปรับอัตราผลตอบแทนสินเชื่อใหม่ที่ 24.0% เรายังคงคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปี 2018 ที่ 2.5 พันล้านบาท(+6%YoY) โดยเรามองว่าแม้บริษัทจะมีความเสี่ยงจากการออกกฏหมายมาควบคุมธุรกิจที่ต่ำ แต่จาก NPLs ที่ยังไม่แข็งแรง และอัตราผลตอบแทนที่ต่ำ และยังไม่ดีขึ้นในเร็ววัน เราจึงคงคำแนะนำ ถือ ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 40.00 บาท (อิง PBV 3.9x คิดเป็น -2SD) จากเดิม 50.00 บาท (อิง PBV 5.1x)
News Summary
Markets
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 300 จุดเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว โดยปัจจัยบวกดังกล่าวได้ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดดีดตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 25,000 จุดได้อีกครั้ง นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,013.29 จุด พุ่งขึ้น 298.20 จุด หรือ +1.21% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,733.01 จุด เพิ่มขึ้น 20.04 จุด หรือ +0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,394.04 จุด เพิ่มขึ้น 39.70 จุด หรือ +0.54%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.3% ปิดที่ 395.87 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.ปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปีเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า การผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลามีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ หากรัฐบาลสหรัฐตัดสินใจคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนเซุเอลา หลังจากที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งซึ่งระบุว่านายนิโคลัส มาดูโร ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 72.24 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. 2557
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 79.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ส่งผลให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นออย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,290.90 ดอลลาร์/ออนซ์
Economy & Politics & Industry
จีดีพีโตเกินคาดสูงสุด5ปี
นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.ได้ปรับประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้จาก 3.6-4.6% หรือเฉลี่ย 4.1% เป็น 4.2-4.7% หรือค่าเฉลี่ย 4.5% หลังจากไตรมาสแรกจีดีพีขยายตัวได้ 4.8% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส หรือ 5 ปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนทุกด้าน
"บอร์ดพีพีพี"ไขลานการลงทุนดัน3โครงการยักษ์4.4แสนล้าน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (บอร์ดพีพีพี) ว่า ที่ประชุมได้เร่งรัดโครงการลงทุนภายใต้ PPP Fast track (พีพีพี ฟาสต์แทรก) ให้เป็นไปตามกำหนด โดยเฉพาะการลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และกรมทางหลวง ถึงแม้จะรายงานว่า มีหลายโครงการที่ล่าช้า ซึ่งที่ประชุมได้ย้ำให้ทั้ง 2 หน่วยงาน ทำให้เสร็จในเวลาที่กำหนด
Mongkol Puangpetra & Fundamental Research Team
OO9099