- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 16 May 2018 17:54
- Hits: 3347
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐสูงสุดรอบ 7 ปีเป็นลบ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SPALI (จากซื้อเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index กลับมาปรับตัวลง 6.24 จุด ปิดที่ 1766.86 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านโดยส่วนใหญ่มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 60.1 พันล้านบาท มีแรงซื้อหุ้นเฉพาะตัวที่มีข่าว เช่น LH ได้เข้า MSCI หรือหุ้นมีผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาด เช่น BDMS ปัจจัยลบมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี แตะ 3% อีกครั้งกังวลเงินไหลออก และ MSCI ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย ขณะที่ราคาน้ำมันยังมีความผันผวน หลังปรับขึ้นมาสูงมาก ผู้นำซื้อสุทธิคือ รายย่อย บัญชีหลักทรัพย์ และสถาบัน ด้านผู้ขายสุทธิมีรายเดียวคือนักลงทุนต่างชาติ
แนวโน้มและกลยุทธ์– ปัจจัยต่างประเทศไม่เอื้อ จากการอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ทำยอดสูงสุดในรอบ 7 ปี กังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง อีกทั้งดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า บาทกลับมาอ่อน ทำให้กังวลเรื่องเงินไหลออก ราคาน้ำมันแม้ปรับขึ้น แต่หุ้นกลุ่มพลังงานได้ปรับขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว สถานการณ์ในประเทศระยะนี้ ได้รับปัจจัยลบจาก MSCI ถ่วงน้ำหนักไทยลดลง ติดตามสัญญาณจาก กนง.ที่จะประชุมวันนี้ คาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลงในระยะสั้น ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับลง แต่ในอัตราไม่มาก ส่วนระยะกลาง-ยาวเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนอีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มากยังคอยกดดันดัชนีฯ ส่วนการเมืองไทยหากเลือกตั้งได้ ก.พ.62 ตามโรดแม็ปจะเป็นบวก ช่วงนี้ยังจับตารายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ช่วงเช้านี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ยังมีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดีเกินคาด หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ส่วนหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นแรงจูงใจให้มีการปรับลดคำแนะนำได้ จึงต้องคอยติดตาม ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่เป็น 1740-1790 จุด
Update หุ้นเด่น : TKN – TKN มี Core Profit 1Q61 เท่ากับ 160 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้น 13%QoQ แต่ยังอ่อนกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 11%YoY เพราะอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 28.2% จากต้นทุนคงที่โรงงานใหม่และต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น คาดว่ารายได้ในไตรมาสที่เหลือปีนี้จะเติบโตได้ YoY อัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสฟื้นตัวจากราคาวัตถุดิบ และการมี Economy of Scale ซึ่งจะเริ่มเห็นตั้งแต่ 2Q61 เป็นต้นไป แนะนำซื้อ – ให้ราคาพื้นฐาน 23 บาท อิงกับ P/E ปีนี้ที่ 34 เท่า (PEG 1 เท่า) โดยกำไร 1Q61 คิดเป็น 20% ของคาดการณ์ทั้งปีของเรา
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปน็ ลบอีกครั้ง ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯแกว่งแบบลง แต่มีรีบาวด์สั้นๆ เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence ยังคอยกดดัน ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1770-1780, 1790 โดยมีแนวรับ 1740-1730
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TMB, PSL, PTG, UTP, TKN, GCAP, AP, GUNKUL ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ KBANK, KTC, UNIQ, GLOBAL, VIBHA, CMAN หุ้นที่หลุด BCH และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น SYNEX, GOLD, AH
ปัจจัยต่างประเทศ
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ สูงสุดในรอบ 7 ปีเป็นลบกับ SET
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐที่พุ่งขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2554 โดยดีดตัวสู่ระดับ 3.059% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.189% เมื่อคืนนี้
-ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง เงินไหลออกจากไทย
#ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นหลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งนอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงบวกจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ในปีนี้
-เครื่องมือ FedWatch มีโอกาสสูง เรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้
# CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐพบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 51% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคาดว่า เฟดมีโอกาส 95% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.และมีโอกาส 81.4% ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.
-/• ดัชนีภาคการผลิตออกมาแข็งแกร่ง แต่ยอดค้าปลีกเป็นไปตามคาด
# ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ดีดตัวสู่ระดับ 20.1 ในเดือนพ.ค. สูงกว่าระดับ 15 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ขณะที่ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซิน
-/• ติดตามความคืบหน้าถ้อยแถลงเฟด และการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน รอบ 2
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2 หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีราคานำเข้า
# ติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และความคืบหน้าของการเจรจาด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่สหรัฐฯ จากก่อนหน้าที่ประชุมที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แต่ไม่คืบหน้านัก
+/• ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI และ Brent ปรับเพิ่มขึ้น
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 71.31 ดอลลาร์/บาร์เรลและสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 78.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
# น้ำมันขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบเพื่อเก็งกำไร ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐลบ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,706.41 จุด ร่วงลง 193.00 จุด หรือ -0.78% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,711.45 จุด ลดลง 18.68 จุด หรือ -0.68% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,351.63 จุด ลดลง 59.69 จุด หรือ -0.81%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ รวมทั้งกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้
• ภาวะตลาดทองคำ : ลดลง กลับไปเก็งกำไรดอลลาร์
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 27.9 ดอลลาร์ หรือ 2.12% ปิดที่ 1,290.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
# สัญญาทองคำปิดในแดนลบติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดทองคำเช่นกัน
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องติดตาม
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่น่าสนใจที่จะมีการประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
• นายกฯ ระบุยังไม่กำหนดวันนัดหารือพรรคการเมือง
# พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนดวันหารือกับกลุ่มพรรคการเมืองที่เตรียมจะจัดขึ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้ โดยหัวข้อที่จะหารือจะมีประเด็นเรื่องการทำกิจกรรมพรรคการเมืองที่จะให้เป็นไปตามขั้นตอน พร้อมทั้งจะมีการหารือถึงกติกาการหาเสียง ที่ต้องลดความขัดแย้ง และทุกคนต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง
+/• การเมืองไทย: ติดตามคำวินิจฉัยกฎหมายลูกที่มา สส.และสว.23 พ.ค.61
# ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดวินิจฉัยกฎหมายลูกที่มา สส.และสว.23 พ.ค.61 นี้ หากผ่าน ก็จะสามารถประกาศวันเลือกตั้งได้ประมาณ มิ.ย.-ก.ค.61 เราคาดว่าจะมีผลกับ SET เช่นกัน คือ หากยังเป็นไปตามโรดแม็ปคือ มีการเลือกตั้ง ก.พ.62 ดัชนีก็พร้อมจะปรับตัวขึ้น แต่ในทางกลับกันหากมีความล่าช้ามากก็จะเป็นผลลบกับ SET ได้
• ติดตามการประชุม กนง. วันนี้ว่าจะส่งสัญญาณด้านเศรษฐกิจอะไรออกมา
# แม้เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ แม้อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกเป็นขาขึ้น เพื่อรักษาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทางกนง.จะส่งสัญญาณทางด้านเศรษฐกิจไทยอะไรออกมาหรือไม่ เพราะปัจจุบันกระแสของต่างประเทศมีความผันผวนรุนแรง และมีผลกระทบต่อไทยได้
+ ครม.อนุมัติงบก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่เพิ่ม 512.50 ลบ. เป็นสัญญาณดีกับ STEC
# พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 512.50 ล้านบาทให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ 273 ล้านบาท, ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ 150 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ 88 ล้านบาท ซึ่งจะเร่งรัดให้การก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม โดยทั้งโครงการจะต้องเสร็จเรียบร้อยภายในเดือน ธ.ค.62 (Aspen)
# STEC: ที่ผ่านมาต้องมีการตั้งสำรองโครงการนี้มาก เนื่องมาจากความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ที่จะใช้ในงานก่อสร้างหากได้รับเงินชดเชยหลังจากที่ครม.อนุมัติงบเพิ่ม ก็อาจจะเป็นข่าวดีตามมาได้
# บริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น คาดงานประมูลโครงการภาครัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น สำหรับกำไรปีนี้ คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.16 พันล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 611 ล้านบาทในปีก่อน (เพราะตั้งสำรองด้อยค่าฯ งานในมือ) คำแนะนำเป็น ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 23 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับ P/E ปีนี้ที่ 30 เท่า
+/• 17 พ.ค.61 จะมีการแตกพาร์ 2 หลักทรัพย์คือ SGP และ PYLON
# หากใช้ราคาปิดวานนี้ของ SGP ที่ 23.70 บาท จะมีราคาลดลงเป็น 11.85 บาท และ PYLON หากใช้ราคาปิดวานนี้ที่ 14.90 บาท จะมีราคาลดลงเป็น 7.45 บาท จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะมีการเก็งกำไรก่อนแตกพาร์ แต่เมื่อแตกพาร์จริงกลับกลายเป็นไม่คึกคักเท่าที่ควร ยกเว้นแต่ได้รับความนิยมสูงเช่น PTT อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีคือ สภาพคล่องในการซื้อขายจะดีขึ้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8840