- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 11 May 2018 18:26
- Hits: 3033
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ลุ้นรีบาวด์ น้ำมันขึ้น-ดอลลาร์อ่อนลง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : CHG (จากถือเป็นซื้อ) / GFPT, MALEE (จากถือเป็น Fully Valued)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ลดลง 10.01 จุด มายืนที่ 1746.89 จุด สวนทางตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายบางลงที่ 49.1 พันล้านบาท มีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักทั่วทั้งตลาด แม้แต่หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรก็ไม่สามารถยืนได้ ทั้งๆที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น ดัชนีฯดิ่งลงหลังหลุด 1750 จุด ผู้นำซื้อสุทธิคือนักลงทุนสถาบันและรายย่อย ด้านการขายสุทธิคือนักลงทุนต่างชาติและบริษัทหลักทรัพย์
แนวโน้มและกลยุทธ์– สถานการณ์ระยะสั้นมากๆกลับมาดีขึ้นจาก 1) ราคาน้ำมันที่กลับมาสูงขึ้น หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่านและล่าสุดข่าวการยิงสู้รบกันระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองทัพอิหร่านซึ่งมีฐานอยู่ในซีเรีย ช่วยผลักดันหุ้นกลุ่มพลังงาน และ 2) เงินดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่า ช่วยลดปัจจัยลบต่างชาติเร่งขายหุ้นลดผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี กลับมาอ่อนกว่า 3% ลดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่สูง แต่ระยะหลัง SET ไม่บวกตามเพื่อนบ้านเลย คาดว่าเป็นเรื่องเงินไหลออก และยังมีเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนยังคอยกดดัน
ดัชนีฯ อีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มาก ช่วงนี้ยังจับตารายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ค. มีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ที่ระยะนี้มีการรายงานออกมาต่อเนื่อง ในสัปดาห์นี้ ยังคงกลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดี หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ส่วนหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นแรงจูงใจให้มีการปรับลดคำแนะนำได้ จึงต้องคอยติดตาม ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่อ่อนลงมาเป็น 1730-1770 จุด
Update กลุ่มและหุ้น : KCE –พ้นช่วงแย่สุด 1Q61 ไปแล้ว ผลกำไรมีแนวโน้มกำลังจะดีขึ้น ปลาย 1Q61 บริษัทมีคำสั่งซื้อที่ทำไม่ทันค้างอยู่ 8 ล้านดอลลาร์ และได้เพิ่มเครื่องจักร 8 ตัวในปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แล้วจะเพิ่มอีก 20 ตัวใน 2Q61 ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อรองรับ High Season ของธุรกิจในไตรมาส 3 ความต้องการซื้อสินค้ายังคงแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะเดียวกัน KCE น่าจะได้ประโยชน์จากการที่โรงงานคู่แข่งขันเกิดเพลิงไหม้ และบริษัทเพิ่งได้ 2 ออร์เดอร์ใหญ่จากลูกค้าในธุรกิจยานยนต์ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ปี 62 และหนุนผลประกอบการใน 5 ปีข้างหน้า คงคำแนะนำซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 85.00 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบต่อ ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯแกว่งแบบลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence กดดัน แต่ก็ลุ้นรีบาวด์สั้นๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1750-1760, 1770 โดยมีแนวรับ 1740-1730
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TISCO, SEAFCO, WHA, PTG, D, SAT, RCL, BLAND ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM, PLANB,KKP,SPALI หุ้นที่หลุด List HANA,EGCO,DDD,PTL และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น SENA,COM7,MTC
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI กลับมาดีดตัวแรง หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 71.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557 ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 77.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557
# สัญญาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวการยิงสู้รบกันระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองทัพอิหร่านซึ่งมีฐานอยู่ในซีเรีย นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินของสหรัฐซึ่งต่างก็ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว
# น้ำมันดิบในตลาดโลกปรับขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้นพลังงานบ้านเรา แต่เป็นลบในเรื่องอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯจะปรับขึ้น ตาม Cost Push Inflation และอาจเป็นแรงผลักดันเร่งเฟดให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate
+ วานนี้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หลังตัวเลขเงินเฟ้อขยายตัวต่ำกว่าคาด
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ในตลาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่เร่งขึ้นปรับอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
# ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯล่าสุดเป็น 92.729 จุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี วานนี้ลดลงเป็น 2.9672% ต่ำกว่า 3% และต่ำกว่าวันก่อนหน้าที่ 2.9791% และค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่าขึ้นเป็น 31.9405 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐบวก หุ้นพลังงานผลักดัน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,739.53 จุด เพิ่มขึ้น 196.99 จุด หรือ +0.80% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,723.07 จุด เพิ่มขึ้น 25.28 จุด หรือ +0.94% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,404.97 จุด เพิ่มขึ้น 65.07 จุด หรือ +0.89%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดซึ่งทำให้นักลงทุนคลายวิตกเกี่ยวกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลและเฟซบุ๊ก
• ภาวะตลาดทองคำ : ปรับขึ้น หลังดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 9.30 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 1,322.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งขึ้นปรับอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
• แบงก์ชาติอังกฤษมีมติคงดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมวันนี้ หลังเผยตัวเลขเศรษฐกิจซบเซา
# ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจซบเซาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษในไตรมาส 1 มีการขยายตัวเพียง 0.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2555 และลดลงจากระดับ 0.4% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
+/• ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น จากเงินปอนด์ที่อ่อนค่า
# ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเป็นส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงหลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีนี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและจับตาสถานการณ์การเมืองในอิตาลี
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- ราคาน้ำมันขึ้น ส่งผลดีกับกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และโรงกลั่น
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมันที่ได้รับผล sentiment ด้านบวกคือ PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, ESSO, IRPC, BCP, SPRC แต่กลับเป็นลบกับหลักทรัพย์ที่อิงน้ำมันเป็นวัตถุดิบเช่น TASCO, EPG และเป็นลบกับหลักทรัพย์ขนส่งที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนเช่น AAV, BA, THAI และ NOK
# PTTEP: แม้แนะนำ ถือ แต่จากข่าวการเปิดประมูลแหล่งก๊าซคาดว่า หาก PTTEP ได้บงกช และตามสัดส่วนที่ถือเดิมราคาพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15.00 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 138.00 บาท จากปัจจุบัน 123.00 บาท และหากได้ 2 โครงการคือเอราวัณด้วย มูลค่าขายจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 33 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 156.00 บาท แต่ในความเป็นจริง โอกาสที่จะได้ถึง 2 โครงการเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย และในอนาคตอาจจะมีการร่วมทุนระหว่างกันได้อีก จึงต้องรอผล จึงคาดว่าจะมีการเก็งกำไร PTTEP จากเรื่องนี้
+ PF: กำไรสุทธิ 1Q61 เป็นสัดส่วนถึง 65% จากประมาณการทั้งปี แนะนำ ซื้อเก็งกำไร
# ประกาศกำไรสุทธิ 1Q61 ดีเกินคาดเป็น 195 ล้านบาท เติบโตถึง 333% y-o-y ที่ 45 ล้านบาท และคิดเป็นถึง 65% จากประมาณการตลอดปี 61แล้ว สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายแนวราบเพิ่ม 27% y-o-y เป็น 1.9 พันล้านบาท และรายได้คอนโดโตถึง 167% เป็น 1.1 พันล้านบาท ซึ่งมีผลจากคอนโด Height 2 ของบริษัทในกลุ่มคือ GRAND มีการโอนมาก
# อีกทั้งอัตราภาษีเงินได้ไตรมาสนี้ต่ำลงเป็น 18% เทียบกับ y-o-y ที่ 47% แม้ค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มถึง 51% เป็น 422 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลจากภาษีโอนกรรมสิทธิ์และธุรกิจเฉพาะที่สูงขึ้น ตามการโอนที่มากขึ้น
# แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาพื้นฐานเดิมคือ 0.85 บาท ราคาปิดปัจจุบันสูงกว่าแล้ว แต่มีโอกาสจะปรับประมาณการและราคาพื้นฐานดีขึ้น หลังประชุมกับบริษัท 22 พ.ค.นี้ อีกทั้งซื้อตอนนี้จะได้เงินปันผลงวดสุดท้ายปี 60 ทันที่สูงเป็น 0.05 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนถึง 5.8% XD 14 พ.ค. และจ่าย 25 พ.ค.61
-UV และ SQ มีผลการดำเนินงาน 1Q61 ที่น่าผิดหวัง อาจส่งผลลบกับราคาหุ้นได้
# UV มีกำไรสุทธิ 1Q61 ที่ 222 ล้านบาท ลดลงถึง 47% y-o-y ที่เป็นกำไรสุทธิ 419 ล้านบาท แม้รายได้รวมยังเติบโตได้ 11% y-o-y เป็น 4.8 พันล้านบาท แต่ตัวฉุดที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้นถึง 53% เป็น 396 ล้านบาท ซึ่งมาจากการโฆษณาคอนโดใหม่ 4 แห่งที่ทยอยเปิดขายในปีนี้ จากการที่กำไร 1Q61 เป็นสัดส่วนเพียง 17% เทียบกับประมาณการปี 61 จึงคาดว่าจะต้องปรับลดประมาณการและราคาพื้นฐานที่ 10.84 บาทลง ระยะสั้นแนะนำให้ขายออกไปก่อน
# SQ มีขาดทุนสุทธิ 1Q61 เป็น 39 ล้านบาท เทียบ y-o-y เป็นกำไรสุทธิ 226 ล้านบาท ถือว่าน่าผิดหวัง สาเหตุหลักมาจากรายได้-บริการลดลง18% y-o-y เป็น 831 ล้านบาท ประการสำคัญคือ อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือเพียง 7.9% เทียบ y-o-y ที่ 38.8% อีกทั้งต้นทุนทางการเงินได้เพิ่มขึ้น 18% เป็น 37 ล้านบาท เราไม่ได้ทำการวิเคราะห์ SQ (not rated) แต่คาดว่าการเกิดขาดทุนอีกครั้ง จะส่งผลลบกับราคาหุ้นได้ จึงควรระมัดระวัง
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8694