- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 09 May 2018 17:43
- Hits: 1970
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน ราคาน้ำมันผันผวนสูง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ASIAN (จากซื้อเป็นขาย)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ดิ่งลงถึง 19.55 จุด มายืนที่ 1760.25 จุด หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง แม้หุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ปรับขึ้น ตามข่าวเลื่อนการใช้ IFRS9 แต่ไม่อาจทานแรงขายได้ ยกเว้นกลุ่มส่งออกเช่นอิเล็กโทรนิกส์ที่ปรับขึ้นรับข่าวบาทอ่อน ตลาดยังคงติดตามทรัมป์เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน นักลงทุนต่างชาติและหลักทรัพย์ขายสุทธิรายละมากกว่า 2 พันล้านบาท ส่วนสถาบันและรายย่อยเป็นผู้ซื้อสุทธิ
แนวโน้มและกลยุทธ–์ แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกเมื่อคืนปรับลง ตามการ Sell on Fact หลังทรัมป์ตัดสินใจคว่ำบาตรอิหร่านจริง แต่เช้านี้ราคาน้ำมันกลับฟิ้นตัวดีขึ้น วันนี้จึงต้องติดตามหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรฯว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้บ้างหรือไม่ หลังวานนี้ดิ่งหนัก เพราะมีผลกับ SET มาก แต่การที่พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ยังแตะใกล้ 3%ดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่ทำ New High และเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนยังคอยกดดันดัชนีฯ ในช่วงที่บาทอ่อนเทียบกับดอลลาร์ จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นบ้านเรา แต่กลับมีการเก็งกำไรหุ้นส่งออกที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า ช่วงนี้ยังจับตารายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ค. มีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ที่ระยะนี้มีการรายงานออกมาต่อเนื่อง ในสัปดาห์นี้ ยังคงกลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดี หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ส่วนหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นแรงจูงใจให้มีการปรับลดคำแนะนำได้ จึงต้องคอยติดตาม ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่อ่อนลงมาเป็น 1750-1790 จุด
Update กลุ่มและหุ้น : TMB – คาดว่าข่าวการเลื่อนใช้มาตรฐานบัญชี IFRS9 ออกไป จะมีการเก็งกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ต่อ และแม้ไม่มีเรื่องนี้เราก็ยังชอบ TMB เพราะมีปัจจัยพื้นฐานดี ล่าสุดบอร์ดยังไม่คุยเรื่องการควบรวมกิจการ และเห็นว่าแบงค์ยังมีศักยภาพในการแข่งขันที่ดี รายได้ค่า Fee ยังแข็งแกร่งหลังจับมือกับ FWD ซึ่งจะได้ค่า Access fee เข้ามาไตรมาสละ 330 ล้านบาทเป็นเวลา 15 ปี ด้านสินเชื่อ Small SME ก็เติบโตสูง แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 3.10 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบต่อ ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯแกว่งแบบลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence กดดัน แต่ก็ลุ้นรีบาวด์สั้นๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1770-1780, 1790 โดยมีแนวรับ 1755-1750 สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TOA, HANA, PLANB, MC ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM, GOLD, SEAFCO, GLOBAL, STPI, TOP,SAMARTหุ้นที่หลุด List MAJOR,BGRIM,SAT,THE และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น VIH
ปัจจัยต่างประเทศ
-ทรัมป์ตัดสินใจคว่ำบาตรอิหร่าน แต่ราคาน้ำมันกลับลดลง
# ปธน.ทรัมป์ได้แถลงที่ทำเนียบขาวและมีการถ่ายทอดสดว่า เขาจะใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงต่ออิหร่านอีกครั้ง พร้อมกับย้ำว่า ไม่สามารถทำให้อิหร่านยุติการพัฒนาอาวุธนิเคลียร์หรือการสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในภูมิภาคได้
# อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ระบุช่วงเวลาอย่างเจาะจงในการใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน และไม่ได้ระบุขนาดความรุนแรงของมาตรการคว่ำบาตรในครั้งนี้เช่นกัน
# ราคาน้ำมันในตลาดโลกวานนี้กลับลดลง แทนที่จะเพิ่มขึ้นตามอุปทานที่ลดลง เพราะอิหร่านจะส่งออกได้ยากขึ้น เข้าลักษณะการเก็งกำไรน้ำมันจนปรับขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้มาถึงการขายเมื่อมีข่าวจริง (Sell on Fact)
-ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาก มีตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใสสนับสนุน
# สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของพนักงาน (JOLTS) รายเดือน พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน อยู่ที่ระดับ 6.6 ล้านตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 6.1 ล้านตำแหน่ง
# ทางด้านสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมในสหรัฐ ขยับขึ้น 0.1 จุด สู่ระดับ 104.8 ในเดือนเม.ย. โดย NFIB ระบุว่า เจ้าของธุรกิจขนาดย่อมหันมามุ่งความสนใจไปที่การสร้างงานใหม่ค่าแรงและผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุน
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐเพิ่มเล็กน้อย หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,360.21 จุด เพิ่มขึ้น 2.89 จุด หรือ +0.01% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,671.92 จุด ลดลง 0.71 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,266.90 จุด เพิ่มขึ้น 1.69 จุด หรือ +0.02%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน และจะใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ต่ออิหร่าน
- ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI กลับปรับตัวลง หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 1.67 ดอลลาร์ หรือเกือบ 2.4% ปิดที่ 69.06 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 74.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
# น้ำมันลด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ประกาศนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านพร้อมประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ แต่ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ระบุช่วงเวลาการคว่ำบาตรที่ชัดเจน และไม่ได้ระบุขนาดความรุนแรงของการใช้มาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน
• ภาวะตลาดทองคำ : ปรับลง หันไปเก็งกำไรดอลลาร์แทน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,313.70 ดอลลาร์/ออนซ์
# ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ การที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวก ทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้
# ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย.,จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนเม.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/• กลายเป็นว่าแบงก์ไม่อยากให้เลื่อน IFRS9 นานเกินไป
# แบงก์-บจ.มีลุ้น คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) ส่งสัญญาณเลื่อนใช้ IFRS9 นัดประชุมใหญ่เดือน พ.ค.นี้ ก่อนสรุป หลัง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยื่นข้อเสนอมาให้เลื่อนใช้ทั้งระบบไปปี 65 ขณะที่คลัง อยากให้เลื่อนเช่นกัน เพราะหวั่นกระทบต่อเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพเข้าถึงสินเชื่อได้ยาก (ข่าวหุ้น)
# กลายเป็นว่าจากการสอบถามธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะทำตาม IFRS9 ได้ตั้งสำรองฯไปล่วงหน้าแล้วและไม่อยากเลื่อนการใช้ออกไปนานๆ ถึงปี 65 เพราะจะเป็น Overhang ที่นานเกินไป หากจะเลื่อนเวลาที่เหมาะสมคือ ยังอยู่ภายในปี 62 ส่วนธุรกิจ non-bank อาจจะมีความเหมาะสมมากกว่าที่จะเลื่อนออกไปนานๆ เนื่องจากยังมีความไม่พร้อม
# แม้ข่าวนี้เป็น sentiment ด้านบวกกับหลักทรัพย์กลุ่มธนาคาร และวานนี้ราคาหุ้นปรับขึ้นดี แต่แนะนำใช้กลยุทธ์เลือกซื้อรายตัวที่มีพื้นฐานดีไว้ก่อน คือ BBL, KBANK และ TMB เพราะแม้ไม่มีเรื่องการเลื่อน IFRS9 ก็ยังถือว่าปลอดภัย
-/• การเปิดประมูลรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินล่าช้า
#(รฟท.) เปิดเผยถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร (ก.ม.) วงเงินลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาทว่า รฟท. จัดทำร่างทีโออาร์แล้วเสร็จ 90% แต่ยังไม่สามารถเปิดประมูลได้ เนื่องจากต้องรอให้มีการออกประกาศเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับเหลักเกณฑ์ของผู้เข้าร่วมลงทุนในโครงการก่อนเช่น สัดส่วนการถือหุ้นระหว่างไทยกับต่างชาติ, เกณฑ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์การใช้ที่ดิน เป็นต้น จากนั้น รฟท. จะต้องนำร่างทีโออาร์ที่จัดทำขึ้นไปเทียบเคียงกับประกาศว่าสอดคล้องกันหรือไม่ หากไม่สอดคล้องจะต้องทำการปรับเงื่อนไขใหม่
#คาดว่าอาจจะส่งผลจิตวิทยาทางลบต่อกลุ่มหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องเช่น บริหารเดินรถ-รับเหมาก่อสร้าง เช่น BEM-CK สาย BTS-STEC และอาจจะมี PTT ร่วมด้วย รวมทั้งหลักทรัพย์ หมวดนิคมฯ ที่อิงตาม EEC เช่น AMATA, WHA, ROJNA
#อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะเป็นข่าวลบเพียงช่วงสั้น เพราะปกติโครงการขนาดใหญ่มักจะมีความล่าช้าอยู่บ้าง แต่หากยังเป็นไปตามไทม์ไลน์ เช่นต้องหาผู้รับงานให้ได้ต้นปี 62 และใช้เวลาอีก 5 ปี และเปิดให้บริการปี 2567 ก็จะไม่ได้มีผลเสียหาย
+/- บาทอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลบวกต่อกลุ่มส่งออก โรงแรม แต่เป็นลบกับ SET
# สถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าเทียบกับดอลลาร์ในงวด 1Q61 ในอัตรา 4.2% ส่งผลลบต่อกลุ่มส่งออก ทั้งทางด้านรายได้ในสกุลบาทที่ลดลง และอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนลง แต่ QTD ในงวด 2Q61 เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงในอัตรา 2.3% คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
# เงินบาทอ่อนค่าส่งผลลบกับ SET ในภาพรวม เพราะหากขายหุ้นช้าและต้องแลกเงินบาทไปเป็นดอลลาร์ ต้องใช้เงินบาทมากขึ้น ยิ่งนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
+ บาทอ่อนค่า กลุ่มส่งออกประเภทอิเล็กทรอนิกส์ เลือก HANA
# สำหรับ DELTA และ SVI ยังเผชิญกับปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน (Shortage of Raw Material) และ KCE มีปัจจัยลบจากต้นทุนหลักคือ วัตถุดิบทองแดงนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น HANA จึงเป็นตัวเลือกที่ดี ซึ่งยังไม่พบปัญหาที่กล่าวไว้ทั้งสองประการ
# แม้คาดกำไร 1Q61 ของ HANA ลดลง YoY แต่ก็คาดว่าจะฟื้นตัวจาก q-o-q โดยคาดการณ์ Core profit (ไม่รวมรายการพิเศษ) ไว้ที่ 423 ล้านบาท (-32%YoY, +38%QoQ) และแนวโน้มจะดีขึ้น หลังเงินบาทเริ่มอ่อนตัวลง QTD ซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะขยับขึ้นได้ เราประมาณการ GPM ทั้งปี 61 ไว้ที่ 13.5% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 40 บาท ทั้งนี้เห็นว่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน 37.00 บาทมี Valuation ที่จูงใจแล้ว โดยซื้อขายที่ P/E ปี 61 ที่ 13.9 เท่า ฐานะเป็นเงินสดสุทธิและคาดว่าให้ Dividend yield สูงที่ 5.4% ส่วนคำแนะนำของ DELTA และ KCE คือ ถือ และ SVI เป็นเต็มมูลค่า (Fully Valued)
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO8566