- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 May 2018 20:01
- Hits: 577
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET แกว่งตัวในกรอบแคบ โดยมีแรงซื้อเด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้า-พลังงานทดแทนนำโดย GULF, EA, GPSC, BGRIM และกลุ่มค้าปลีกนำโดย BJC, ROBINS และกลุ่มรถไฟฟ้าอย่าง BTS, BEM อย่างไรก็ตามยังคงมีแรงขายในกลุ่มธนาคารอย่างต่อเนื่องนำโดย KBANK, SCB ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,790.8 จุด (-0.02 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ่นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.6 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 3,043 ล้านบาท แต่กลับมาเปิดสถานะ Long SET50 index future ที่ 564 สัญญา
Investment theme
คาดกลุ่มค้าปลีก มีโอกาส Outperform ตลาด : เรามองว่าการลงทุนในเดือนพฤษภาคมจะยากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจาก Liquidity ในตลาดที่ลดลง โดนนักลงทุนยังคงสถานะขายสุทธิในตลาดพันธบัตรและหุ้น จากทั้งปัจจัยค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าและเข้าสู่ช่วงจ่ายเงินปันผล ส่งผลให้เรามองว่าการลงทุนต้องเน้นปัจจัยพื้นฐานที่สูงขึ้น โดยกลุ่มที่เรามีมุมมองเชิงบวกได้แก่กลุ่มค้าปลีก โดยปกติแล้วผลประกอบการกลุ่มค้าปลีกอ่อนตัว QoQ เมื่อเทียบกับไตรมาสหนึ่ง อย่างไรก็ตามในปีนี้เรามองว่าผลของการอ่อนตัวจะไม่ได้แรงเหมือนในอดีต เป็นผลจาก 1) หากเราวิเคราะห์เชิงลึกใน Policy risk จากภาครัฐ เราพบว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมได้แก่ “ประชาชน” ผ่านกำลังซื้อที่สูงขึ้นซึ่งถือเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก และ 2) การปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อประเทศไทยที่ 1.07% สูงที่สุดในรอบ 14 เดือน โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 0.68% ในขณะที่ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 40 เดือนที่ 80.9 โดยเริ่มเห็นผลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ที่สนค.ระบุสามารถช่วยลดค่าครองชีพได้ประมาณ 7.2% และ 3) ประโยชน์ทางอ้อมจากฟุตบอลโลก (ทั้งธุรกิจขวดแก้วและ สินค้า BIGC) ที่จะเริ่มแข่งในช่วงกลางเดือนมิถุนายน และครั้งนี้ถือเป็นเวลาการถ่ายทอดที่คนไทยสามารถดูได้ (เวลาประมาณ 1-5 ทุ่ม) ส่งผลให้เรามองว่ากำไร 2Q18 อาจจะไม่อ่อนตัวแรงตาม seasonal เหมือนในอดีต
Investment Theme: คาด SET ระยะสั้นแกว่งในกรอบ 1770-1805 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์ ขึ้นขาย-ลงซื้อ เน้นหุ้นกลุ่ม Big Cap ที่มีแนวโน้มของผลประกอบการเติบโตเด่นทั้งไตรมาส 1 และ 2 เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPN, SF), ขนส่ง (BTS, BEM), พลังงานและปิโตรเคมี (IVL, PTTEP) และอสังหาฯ (LH)
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – PBOC อันฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ 5.0 หมื่นล้านหยวน / ราคาน้ำมันดิบกลับมายืนที่ระดับ 73.7 เหรียญ/ บาร์เรล / อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ลดลง เหลือ 2.948 ในขณะที่ Dollar อ่อนตัวลงเล็กน้อยที่บริเวณ 92.4 / สหรัฐรายงานตัวเลขขาดดุลการค้าลดลง 15% เป็น 4.9 หมื่นล้านเหรียญหสหรัฐ / ยุโรปรายงาน CPI ต่ำกว่าคาดที่ 1.2%
เมื่อวานที่ผ่านมา SET แกว่งตัวในกรอบแคบ โดยมีแรงซื้อเด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้า-พลังงานทดแทนนำโดย GULF, EA, GPSC, BGRIM และกลุ่มค้าปลีกนำโดย BJC, ROBINS และกลุ่มรถไฟฟ้าอย่าง BTS, BEM อย่างไรก็ตามยังคงมีแรงขายในกลุ่มธนาคารอย่างต่อเนื่องนำโดย KBANK, SCB ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,790.8 จุด (-0.02 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ่นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.6 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 3,043 ล้านบาท แต่กลับมาเปิดสถานะ Long SET50 index future ที่ 564 สัญญา
Investment theme
คาดกลุ่มค้าปลีก มีโอกาส Outperform ตลาด : เรามองว่าการลงทุนในเดือนพฤษภาคมจะยากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจาก Liquidity ในตลาดที่ลดลง โดนนักลงทุนยังคงสถานะขายสุทธิในตลาดพันธบัตรและหุ้น จากทั้งปัจจัยค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าและเข้าสู่ช่วงจ่ายเงินปันผล ส่งผลให้เรามองว่าการลงทุนต้องเน้นปัจจัยพื้นฐานที่สูงขึ้น โดยกลุ่มที่เรามีมุมมองเชิงบวกได้แก่กลุ่มค้าปลีก โดยปกติแล้วผลประกอบการกลุ่มค้าปลีกอ่อนตัว QoQ เมื่อเทียบกับไตรมาสหนึ่ง อย่างไรก็ตามในปีนี้เรามองว่าผลของการอ่อนตัวจะไม่ได้แรงเหมือนในอดีต เป็นผลจาก 1) หากเราวิเคราะห์เชิงลึกใน Policy risk จากภาครัฐ เราพบว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมได้แก่ “ประชาชน” ผ่านกำลังซื้อที่สูงขึ้นซึ่งถือเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก และ 2) การปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อประเทศไทยที่ 1.07% สูงที่สุดในรอบ 14 เดือน โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 0.68% ในขณะที่ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 40 เดือนที่ 80.9 โดยเริ่มเห็นผลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ที่สนค.ระบุสามารถช่วยลดค่าครองชีพได้ประมาณ 7.2% และ 3) ประโยชน์ทางอ้อมจากฟุตบอลโลก (ทั้งธุรกิจขวดแก้วและ สินค้า BIGC) ที่จะเริ่มแข่งในช่วงกลางเดือนมิถุนายน และครั้งนี้ถือเป็นเวลาการถ่ายทอดที่คนไทยสามารถดูได้ (เวลาประมาณ 1-5 ทุ่ม) ส่งผลให้เรามองว่ากำไร 2Q18 อาจจะไม่อ่อนตัวแรงตาม seasonal เหมือนในอดีต
Investment Theme: คาด SET ระยะสั้นแกว่งในกรอบ 1770-1805 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์ ขึ้นขาย-ลงซื้อ เน้นหุ้นกลุ่ม Big Cap ที่มีแนวโน้มของผลประกอบการเติบโตเด่นทั้งไตรมาส 1 และ 2 เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPN, SF), ขนส่ง (BTS, BEM), พลังงานและปิโตรเคมี (IVL, PTTEP) และอสังหาฯ (LH)
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – PBOC อันฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ 5.0 หมื่นล้านหยวน / ราคาน้ำมันดิบกลับมายืนที่ระดับ 73.7 เหรียญ/ บาร์เรล / อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ลดลง เหลือ 2.948 ในขณะที่ Dollar อ่อนตัวลงเล็กน้อยที่บริเวณ 92.4 / สหรัฐรายงานตัวเลขขาดดุลการค้าลดลง 15% เป็น 4.9 หมื่นล้านเหรียญหสหรัฐ / ยุโรปรายงาน CPI ต่ำกว่าคาดที่ 1.2%
Stock pick : PTT
TT : ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 58.0 บาท/หุ้น
เรายังคงชอบ PTT จากการเป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านธุรกิจก๊าซฯ และสำรวจและผลิตผ่าน PTTEP แนวโน้มผลประกอบการ 1Q61 ยังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมี Catalyst จากการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมต่ออายุผ่าน PTTEP ในช่วงที่เหลือของปี 2561 และการ IPO ของธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ผ่าน PTTOR ในปี 2562 คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย SOTP ใหม่ที่ 58 บาท (จาก 51.2 บาท) ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากการ IPO PTTOR
คาดกำไรจากการดำเนินงาน 1Q61 ที่ 3.62 หมื่นล้านบาท (+5.8%YoY, -0.5%QoQ) สนับสนุนจากธุรกิจ PTTEP, PTTGC พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61/62 ขึ้นเป็น 1.35 และ 1.37 แสนล้านบาท สะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 60 เหรียญ/บาร์เรล
Trading idea – – ทยอยสะสม BEM (9.00), BTS (10.50) และ เก็งกำไร PSL ที่ 13.70+/- (งบออกมาดี) และซื้อ BJC เมื่ออ่อนตัวบริเวณ 61.0 บาท
Technical View
TT : ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 58.0 บาท/หุ้น
เรายังคงชอบ PTT จากการเป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านธุรกิจก๊าซฯ และสำรวจและผลิตผ่าน PTTEP แนวโน้มผลประกอบการ 1Q61 ยังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมี Catalyst จากการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมต่ออายุผ่าน PTTEP ในช่วงที่เหลือของปี 2561 และการ IPO ของธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ผ่าน PTTOR ในปี 2562 คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย SOTP ใหม่ที่ 58 บาท (จาก 51.2 บาท) ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากการ IPO PTTOR
คาดกำไรจากการดำเนินงาน 1Q61 ที่ 3.62 หมื่นล้านบาท (+5.8%YoY, -0.5%QoQ) สนับสนุนจากธุรกิจ PTTEP, PTTGC พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61/62 ขึ้นเป็น 1.35 และ 1.37 แสนล้านบาท สะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 60 เหรียญ/บาร์เรล
Trading idea – – ทยอยสะสม BEM (9.00), BTS (10.50) และ เก็งกำไร PSL ที่ 13.70+/- (งบออกมาดี) และซื้อ BJC เมื่ออ่อนตัวบริเวณ 61.0 บาท
Technical View
ยังลุ้นการ Break กรอบแนวต้าน 1800: แรงซื้อหลักจากกลุ่มโรงไฟฟ้าและ Leasing ทำให้ดัชนีพยายาม Rebound ขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1800 แต่ยังไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ ระยะสั้นจึงมองว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1775-1800 ยังคงต้องรอการเลือกทาง ขณะนี้ให้น้ำหนักในขาขึ้นที่จะ Break แนวต้านที่ 1800 สอดคล้องกับ MACD ที่ยังคงส่งสัญญาณบวก ซึ่งหาก Break กรอบ Sideway ได้ Upside จะเปิดมากขึ้น กลยุทธ์การลงทุน 1) Trading ในกรอบ 1775-1800 เน้นขึ้นขาย-ลงซื้อ หากไม่ผ่าน 1800 อาจขายทำกำไร 2) ไม่มีหุ้น: จังหวะอ่อนระหว่างวัน มองเป็นโอกาสซื้อที่แนวรับเพื่อเล่น Trading สั้นๆ
แนวรับ : 1785, 1775 แนวต้าน : 1800, 1820
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: 4 พ.ค. สหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงาน และค่าแรง / จับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ปัจจัยในประเทศ: -.
หุ้นเทคนิค:
PTT (B 56.50-57.00, Tp 59.50//61.00, Cut 55.50)
BJC (B 61.00, Tp 64.00, Cut 60.00)
PTT (B 56.50-57.00, Tp 59.50//61.00, Cut 55.50)
BJC (B 61.00, Tp 64.00, Cut 60.00)
นักวิเคราะห์ : สรพล วีระเมธีกุล / วิจิตร อารยะพิศิษฐ / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-5000
OO8345
Research Department Tel. 02-658-5000
OO8345