- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 30 April 2018 18:26
- Hits: 6341
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“รอลุ้นประชุม FOMC”
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯยังผันผวน มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ไว้ที่ 1750-1800 หาก Fed ไม่ได้แสดงความกังวลต่อเงินเฟ้อ คาดดัชนีฯจะเดินหน้าต่อได้ ..... ตลาดซื้อขายเพียง 4 วันทำการ ปัจจัยหลักๆ จะเป็นของต่างประเทศ การประชุม FOMC (1-2) จะมีผลต่อทิศทางตลาดมากที่สุด ทั้งบวก/ลบ ส่งผ่านมาทาง Bond Yield และค่าเงินดอลล่าร์ของสหรัฐฯ (ถ้าสูงขึ้นเป็นลบ) ขณะที่ปัจจัยในประเทศ จะเป็นทั้งปัจจัยเฉพาะกลุ่มที่ยมีผลมาถึงตลาดสัปดาห์นี้ คือ กลุ่มปตท. กลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์และกลุ่มทิวีดิจิตอล รวมไปถึงการนำส่งงบการเงิน หรือการคาดการณ์กำไร 1Q-18 ของบริษัทในตลาด ซึ่งจะมีผลต่อหุ้นเป็นรายตัว
กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ : ตลาดจะมีทิศทางที่ชัดเจนหลังทราบผลประชุม FOMC คือเช้าวันพฤหัส(3) การร่วงลงของดัชนีฯที่ค่อนข้างแรง หากไม่ได้มีข่าวลบที่มีนัยยะมากๆ ดัชนีฯจะลงได้ไม่มาก (ไม่ต่ำกว่า 1750) คำแนะนำโดยรวมจึงเป็น “ถือ” เพื่อรอดูผลประชุม FOMC .. การเข้าลงทุนในสัปดาห์นี้ ต้องเน้นเล่นสั้นไว้ก่อน เราพลิกกลับมาสนใจหุ้นที่ปัจจัยเฉพาะตัว หรือราคาปรับตัวลงมามาก แต่ลดการถือหุ้นอิงราคาน้ำมัน-ปิโตรเคมี รวมทั้ง หุ้นที่ถูกคาดงบดี ทั้ง 1Q หรือของปี 2018 ทั้งนี้ หุ้นที่เราสนใจ กลุ่มธนาคาร จากราคาที่ลงมามาก ประกอบด้วย BBL และ SCB หุ้นที่มีข่าวบวกของกลุ่มโทรศัพท์ คือ TRUE* หุ้นลงทุนโครงการคมนาคม BEM* , BTS* และหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวอื่นๆ คือ CPF ANAN และ HUMAN
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: HTECH , AU , JKN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้นมีประเด็น
(0) CPF เดินหน้าลงทุนเวียดนามมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ
CPF ระบุว่า ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่น่าจับตามอง และมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอีกประเทศหนึ่งของโลก โดยในไตรมาส 1/2561 ขยายตัวถึง 7.40% ซึ่งส่งผลดีต่อการสร้างการเติบโตของธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม โดย CPF เป็นบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2531 ผ่านบริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น และกลายเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรใหญ่
ความเห็น: CPF มีการลงทุนในเวียดนามอยู่แล้ว ราคาหมูเวียดนามเริ่มฟื้นตัวขึ้นในระดับราคา 38,000 VND แต่ต้องติดตามความต่อเนื่องเนื่องจากอุปทานในเวียดนามควบคุมได้ค่อนข้างยากเพราะประกอบด้วยผู้ประกอบการรายย่อยมากอย่างไรก็ตาม CPF จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาสุกรในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้น จากผู้ผลิตที่เริ่มลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากปรับตัวกับภาวะอุปทานที่ล้นตลาดในปีก่อนหน้านี้ และCPFยังได้ประโยชน์จากการที่จีนประกาศตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯโดยมีแผนที่จะจัดเก็บในอัตรา 25% สำหรับสุกรนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้จีนต้องนำเข้าหมูจากประเทศไทยและเวียดนามมากขึ้น นอกจากนั้นจีนยังมีการอนุญาตินำเข้าเนื้อไก่และชิ้นส่วนไก่ของไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยมีความได้เปรียบประเทศคู่แข่งอื่นๆโดยมาตรฐานการผลิตที่อยู่ในระดับสากล แม้อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนแผนกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากจีนประมาณ 4-6 เดือน เราแนะนำ“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) CPN ( ซื้อ / 92.00 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q18 โตได้ต่อเนื่องและมองเห็นการเติบโตในทุกไตรมาสของปีนี้
เราประมาณการกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 2,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%YoY และ 23% QoQ มาจากรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น 10% YoY และ 9% QoQ จากการเริ่มรับรู้รายได้จากศูนย์ฯที่เพิ่งเปิดช่วง 4Q17 ที่นครราชสีมาและมหาชัยได้เต็มไตรมาส รวมถึง เริ่มรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดที่ระยองได้ 200 ล้านบาท ซึ่งเริ่มให้โอนได้วันที่ 20 มี.ค. ขณะที่ต้นทุนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% YoY และ 2% QoQ เนื่องจากเซ็นทรัลเวิลด์ Renovate ช่วงเดือน ธ.ค. 2017-ช่วงตรุษจีนในเดือน ก.พ. 2018 เรายังคงประมาณการเดิมคาดกำไรปกติเติบโตได้ถึง 22% YoY โดยมองเห็นการเติบโตในทุกไตรมาสของปีนี้ โดยเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 92 บาท อิง DCF (WACC 7.5%, Terminal Growth 3.5%)
(+) SPALI ( ซื้อ / 27.00 บาท) แนวโน้ม 1Q18 ยอด Presales และกำไรสุทธิ จะเติบโตดีเมื่อเทียบ YoY
เราคาดกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 830 ล้านบาท เติบโต 21% YoY แต่ลดลง 51% QoQ เป็นไปตามทิศทางการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยส่วนใหญ่จะมาจากโครงการแนวราบเป็นหลักราว 70% ส่วนยอด Presales 1Q18 ทำได้ดีที่ 8.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% YoY และ 56% QoQ คิดเป็น 27% ของเป้าหมายทั้งปีนี้ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยคอนโดสามารถทำยอด Presales ได้เพิ่มขึ้นมาก แม้ไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากมีบางโครงการสามารถขายลูกค้าต่างชาติได้เพิ่มขึ้นมาก สำหรับกำไรสุทธิทั้งปี 2018 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY แต่หากเทียบกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นราว 8% YoY จากแนวโน้ม Backlog รอโอนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งโครงการคอนโดส่วนใหญ่จะเริ่มโอนในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 27 บาท ปัจจุบันราคาหุ้นยังเทรด PE ต่ำง 8 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 9.7 เท่า และปีนี้จะกลับมาจากเงินปันผลตามปกติคิดเป็น Div. Yield ราว 5% ต่อปี
Analysts: Mongkol Puangpetra
OO8153