บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 18-04-18

Details: Category: บทวิเคราะห์; Published: Wednesday, 18 April 2018 19:37; Hits: 1049

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

Market summary

เมื่อวานที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขาย นำโดยแรงขายจาก CPALL และหุ้นใหญ่อย่าง PTT, SCC, AOT และกลุ่มธนาคารยังเผชิญกับแรงขายเช่น SCB, KBANK และกลุ่มโรงกลั่นอย่าง IRPC, TOP อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อใน BEAUTY, DDD โดย ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,755.5 จุด (-11.6 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 4.6 หมื่นล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 3,814 ล้านบาท แต่กลับมาเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 5,650 สัญญา

Investment theme

ติดตามผลประกอบการกลุ่มธนาคาร: เราคาดกำไร 1Q18 รวม 9 ธนาคารที่ 47,774 ล้านบาท (ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 51,011 ล้านบาท) เติบโต 17%YoY , -7%QoQ โดยคาด NPL(%) เฉลี่ยที่ประมาณ 3.73% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ในขณะที่คาดอัตราการเติบโตสินเชื่อ (Loan growth%) เติบโต 6%YoY , 1%QoQ โดยสรุปภาพรวมคือกลุ่มธนาคารเล็ก น่าจะยังเติบโตได้ดีจาก Credit cost ที่ต่ำและรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยล่าสุด TISCO รายงานผลประกอบการ 1Q18 ดีกว่าที่เราและตลาดคาดประมาณ 3-4% สาเหตุหลักมาจาก Fee income ที่สูงและ credit cost ที่ต่ำ ในขณะที่ยังตั้งสำรองในระดับสูง (Coverage ratio กว่า 204%) แม้ว่า Gross NPL ลดลง 2% หมายถึงการบริหารงานอย่างอนุรักษ์นิยมเมื่อเผชิญกับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามธนาคารใหญ่โดยเฉาพะ KBANK อาจเผชิญกับการตั้งสำรองในระดับสูง เบื้องต้นเราคาดกำไร 8,387ล้านบาท ลดลง 18%YoY และหากดูภาพรวมพบว่าตลาดประเมินกำไรกลุ่มธนาคารค่อนข้างต่ำ ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด หากเห็นแรงซื้อกลับ ส่งผลให้เกิด Technical rebound ในระยะสั้นอย่างไรก็ตามเรามองว่ายากที่จะเห็นนักวิเคราะห์ปรับประมาณกำไรกลุ่มธนาคารขึ้น (จากปัจจุบันคาดไว้เฉลี่ยเติบโตประมาณ 15%) ในทางตรงกันข้าม หากผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด เรามองว่ากลุ่มธนาคารมีโอกาสถูกปรับประมาณการลง และจาก Policy risk ต่างๆที่กดดันทำให้เรามองว่ากลุ่มธนาคารมีโอกาสถูก Downgrade ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากเป็นไปตามคาด เราแนะ Switch เข้ามาลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรที่คาดผลประกอบการ 1Q18 ที่สดใด ต่อเนื่องถึงใน 2Q18

Investment Theme: เริ่มเห็นสัญญาณปัจจัยต่างประเทศที่ดีขึ้น จากทั้งเรื่อง Tradewar และ ซีเรีย ในขณะที่เราเริ่มเห็นพัฒนาการการเมืองในประเทศแบบอ่อนๆ และสะสมกลุ่มหุ้นที่มี Upside และผลประกอบการดีอย่างกลุ่มพลังงาน

Big issue

เมื่อคืนที่ผ่านมา – ครม.มีมติแต่งตั้ง นายประสงค์ พูนธเนศ นั่งปลัดกระทรวงการคลังแทนนายสมชัย และแต่งตั้งนายสนธยา คุณปลื้มเป็นที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง / PBoC ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองธนาคารพาณิชย์ (RRR) 1% มีผล 26 เมษายน จีนรายงาน GDP ไตรมาสหนึ่ง 6.8%

Stock pick : PTTGC

PTTGC : แนะซื้อ ราคาเหมาะสม 116.0 บาท/หุ้น

คาดผลประกอบการจากการดำเนินงาน 1Q18 ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,403 ล้านบาท (+1.5%YoY, +1.4%QoQ) หนุนโดยธุรกิจโอเลฟินส์ ช่วยชดเชยผลประกอบการจากการธุรกิจอะโรเมติกส์และโรงกลั่นที่อ่อนตัวลง เมื่อรวมกำไรสต๊อก 180 ล้านบาท และกำไร FX 750 ล้านบาท เราคาดกำไรสุทธิ 12,302 ล้านบาท ลดลง 6.7% YoY แต่เพิ่มขึ้น 28.7% QoQ

แนวโน้มผลประกอบการ 1Q61 ที่แข็งแกร่ง หนุนโดยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่ดีกว่าคาด เป็น Upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ของตลาดที่ปัจจุบันเฉลี่ย 40,200 ล้านบาท (ต่ำกว่าประมาณการของเรา 10%) PTTGC ยังมี Valuation ที่ไม่แพง ด้วย PER 9.7 เท่า ต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคและค่าเฉลี่ยในอดีต รวมถึงผลตอบแทนจากเงินปันผลสำหรับปี 2561 ที่เราประเมินไว้ที่ 5% เราจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายเท่ากับ 116 บาท อ้างอิง PBV 1.7 เท่า

Trading idea – – แนะทยอยสะสม CPALL บริเวณ 82-83.0 บาท / เก็งกำไรกลุ่ม Logistic อย่าง WICE

Technical View

พักตัวระยะสั้นไม่ควรหลุดแนวรับ 1750 : ดัชนีปรับตัวลงจากแรงขายของหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มธนาคาร โดยภาพหลักยังคงเป็นการแกว่งตัวในกรอบ Downtrend แม้ระยะสั้นเป็นการแกว่งพักตัว แต่มองว่าหากยังไม่หลุดแนวรับ 1750 ยังลุ้นการ Rebound ขึ้นตามกรอบขาลง มองแนวต้านระยะสั้นที่ 1760(EMA10วัน), 1770 แต่หากหลุด 1750 แนะนำ Lock Profit เนื่องจากดัชนีจะเสียโมเมนตัมขาขึ้น และแกว่งตัวลงตามกรอบ Downtrend กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: Trading ในกรอบ 1750-1770 เน้นขึ้นขาย ลงซื้อ และใช้จุด Lock Profit ที่ 1750 1750 2) ไม่มีหุ้น: จังหวะอ่อนไม่หลุด 1750 มองเป็นโอกาสซื้อที่แนวรับ เพื่อเล่น Trading