- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 April 2018 17:36
- Hits: 3431
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“มีแรงส่งต่อ จากความกังวล trade war ลดลง”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ มีโอกาสดีดตัวขึ้นต่อหลังความกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนลดลง การที่ ประธานาธิบดีของจีน ส่งสัญญาณการเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น รวมทั้งปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ใรช่วงเช้าวานนี้(10) ย้ำถึงข่าวบวกที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงว่าการตอบโต้ทางการค้าของสองประเทศจะไม่เกิดขึ้น แรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุนช่วงสองวันที่ผ่านมา สะท้อนถึงมุมมองในทางบวกที่มากขึ้น ต่อเรื่องนี้ ... ปัจจัยอื่นๆ ของวันนี้ จะเป็นความคืบหน้าว่าจีน-สหรัฐฯจะเดินในก้าวต่อไปอย่างไร ช่วงบ่ายวันนี้ ธปท.จะเผยรายงานนโยบายการเงิน ดูว่าจะมีการปรับ GDP ปี ’18 จากเดิมที่ 4.1% หรือไม่ และตาม กสทช.จะประชุมในเรื่องประมูลคลื่นความถี่รอบต่อไป ซึ่งมีข่าวว่าอาจโยนให้ กสทช.ชุดใหม่เป็นผู้ดำเนินการ
กลยุทธ์การลงทุน:
ภาพยังเป็นบวก หุ้นกลุ่มที่ราคาลงไปมากสองกลุ่มที่ยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นต่อ คือ ธนาคาร-กลุ่มอิงส่งออก หลังสหรัฐฯ-จีน มีแนวโน้มที่จะเจรจากัน โดยหุ้นตัวหลักๆ ของสองกลุ่มนี้ เราแนะนำ BBL, KBANK, TMB , KCE, HANA, WICE, JWD* ขณะที่หุ้น Domestic Play ให้น้ำหนักกับ HMPRO หุ้น high dividend yield ยังคงแนะนำ LH* ต่อ (Dividend Yield 6-7% ต่อปี) และหุ้นที่ได้อานิสงค์จากภาวะราคาสินค้า commodity เราแนะนำ SCC* และ TVO
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: BCPG, WORK, PSL
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) KCE : (ราคาปิด 64.75 บาท)
ราคาหุ้น KCE ปรับตัวลงมาถึง 47% นับจากต้นปี 2018 เป็นต้นมา จากผลกระทบหลายด้าน อาทิ เงินบาทแข็ง ราคาทองแดงพุ่ง และความกังวล trade war ณ วันนี้ ราคาทองแดง อยู่ที่ $6908 เหรียญ/ตัน ลดลงจากปี ’17 ถึง 4% แม้เงินบาทยังแข็งค่าแถวๆ 31.1 บาท/ดอลล่าร์ แต่ถึงกระนั้น ความกังวลในเรื่อง trade war ที่ลดลง จะทำให้ราคาไต่ระดับกลับขึ้นไปได้ หากคิดง่ายๆ ราคาหุ้น ณ วันก่อน ประธานธิบดีสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีเหล็ก-อลูมิเนียม ในวันที่ 1 มี.ค. ราคาอยู่ที่ 70 บาท หากความกังวลลดลง ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับไปใกล้ๆ กับระดับดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นในลักษณะเดียวกันกับ หุ้นที่อิงธุรกิจส่งออก ทั้ง WICE, JWD และ HANA ที่เราแนะนำในวันนี้ ........ สำหรับ KCE กำลังจะมีการพิจารณา แตพพาร์ จาก 1.0 เป็น 0.50 บาท .... ราคาที่เหมาะสมของ KTBST อยู่ที่ 80.00 บาท (ก่อนแตกพาร์)
(+) TVO : (ราคาปิด 33 บาท)
ราคากากถั่วเหลืองในตลาดโลก มีราคาสูงขึ้นค่อนข้างมาก ล่าสุด สูงขึ้น 10% จากปลายปีก่อน เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ควมกังวลจะลดลง หากจีนไม่มีการใช้มาตรการภาษีต่อสหรัฐฯ สำหรับ ถั่วเหลือง ..... เราประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ที่ 2.2 พันล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2017 ที่ 1.3 พันล้านบาทแต่ต่ำกว่าปีที่ดีมากอย่างปี 2016. ….. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 39.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Media โฆษกรัฐบาลคาด คสช.ออกมาตรการช่วยทีวีดิจิทัลไม่เกิน 1 สัปดาห์
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คาดว่า ภายใน 1 สัปดาห์จากนี้ คสช. จะมีการออก ม. 44 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีข้อสรุปเป็นที่ชัดเจนแล้ว และคงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม คสช.อีกครั้ง เพราะมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมระบุว่านายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายไว้ว่าเรื่องใดที่มีข้อสรุปแล้วก็ให้ดำเนินการไปได้เลย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาทีวีดิจิทัลจึงไม่จำเป็นต้องรอออกมาพร้อมกับการแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการโทรคมนาคม (ที่มา: Infoquest, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เราคาดว่าการออก ม.44 จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 17 เม.ย. 2018 ซึ่งเราคาดว่ามาตรการการช่วยเหลือทีวีดิจิทัลระยะสั้นและระยะยาวอาจเป็น การเลื่อนจ่ายค่าใบอนุญาต 3 ปีโดยยังคงคิดดอกเบี้ยที่ 1.5% ,กสทช.จะลดค่า MUX 50% เป็นเวลา 2 ปี และการอนุญาตให้มีการเปลี่ยนสิทธิ์การถือครองใบอนุญาตทีวีดิจิตอลได้ เรามองว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากข่าวข้างต้น คือ BEC (ถือ /13.50 บาท), GRAMMY (consensus TP 8.43 บาท), RS (ซื้อ / 35 บาท), WORK (consensus TP 93.29 บาท) และ MONO (consensus TP 5.12 บาท) โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก ม.44 และการลดค่า MUX ยังคงเป็น BEC เนื่องจากมี License ถึง 3 ใบ ซึ่งการลดค่า MUX 50% จะส่งผลให้ Net profit ของ BEC เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 110 ล้านบาท เรามองว่าราคาหุ้นที่ได้ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม” หุ้นกลุ่มทีวีดิจิทัล โดย Top pick คือ หุ้น RS เราแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 35 บาท โดยเรามองว่าผลประกอบการปีนี้ยังคงเติบโตโดดเด่นที่+148% YoY อยู่ที่ 827 ล้านบาท สำหรับ BEC เรามองว่าเป็นหุ้น BEC จะได้รับผลบวกมากที่สุดจากการลดค่า MUX เรามองว่าราคาที่ปรับตัวลงมา ส่งผลให้มี Upside อยู่ที่ 15% จากราคาเหมาะสมของเราที่ 13.5 บาท เราแนะนำ “ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น” จากข่าวข้างต้น
“มีแรงส่งต่อ จากความกังวล trade war ลดลง”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ มีโอกาสดีดตัวขึ้นต่อหลังความกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนลดลง การที่ ประธานาธิบดีของจีน ส่งสัญญาณการเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น รวมทั้งปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ใรช่วงเช้าวานนี้(10) ย้ำถึงข่าวบวกที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงว่าการตอบโต้ทางการค้าของสองประเทศจะไม่เกิดขึ้น แรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุนช่วงสองวันที่ผ่านมา สะท้อนถึงมุมมองในทางบวกที่มากขึ้น ต่อเรื่องนี้ ... ปัจจัยอื่นๆ ของวันนี้ จะเป็นความคืบหน้าว่าจีน-สหรัฐฯจะเดินในก้าวต่อไปอย่างไร ช่วงบ่ายวันนี้ ธปท.จะเผยรายงานนโยบายการเงิน ดูว่าจะมีการปรับ GDP ปี ’18 จากเดิมที่ 4.1% หรือไม่ และตาม กสทช.จะประชุมในเรื่องประมูลคลื่นความถี่รอบต่อไป ซึ่งมีข่าวว่าอาจโยนให้ กสทช.ชุดใหม่เป็นผู้ดำเนินการ
กลยุทธ์การลงทุน:
ภาพยังเป็นบวก หุ้นกลุ่มที่ราคาลงไปมากสองกลุ่มที่ยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นต่อ คือ ธนาคาร-กลุ่มอิงส่งออก หลังสหรัฐฯ-จีน มีแนวโน้มที่จะเจรจากัน โดยหุ้นตัวหลักๆ ของสองกลุ่มนี้ เราแนะนำ BBL, KBANK, TMB , KCE, HANA, WICE, JWD* ขณะที่หุ้น Domestic Play ให้น้ำหนักกับ HMPRO หุ้น high dividend yield ยังคงแนะนำ LH* ต่อ (Dividend Yield 6-7% ต่อปี) และหุ้นที่ได้อานิสงค์จากภาวะราคาสินค้า commodity เราแนะนำ SCC* และ TVO
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: BCPG, WORK, PSL
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) KCE : (ราคาปิด 64.75 บาท)
ราคาหุ้น KCE ปรับตัวลงมาถึง 47% นับจากต้นปี 2018 เป็นต้นมา จากผลกระทบหลายด้าน อาทิ เงินบาทแข็ง ราคาทองแดงพุ่ง และความกังวล trade war ณ วันนี้ ราคาทองแดง อยู่ที่ $6908 เหรียญ/ตัน ลดลงจากปี ’17 ถึง 4% แม้เงินบาทยังแข็งค่าแถวๆ 31.1 บาท/ดอลล่าร์ แต่ถึงกระนั้น ความกังวลในเรื่อง trade war ที่ลดลง จะทำให้ราคาไต่ระดับกลับขึ้นไปได้ หากคิดง่ายๆ ราคาหุ้น ณ วันก่อน ประธานธิบดีสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีเหล็ก-อลูมิเนียม ในวันที่ 1 มี.ค. ราคาอยู่ที่ 70 บาท หากความกังวลลดลง ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับไปใกล้ๆ กับระดับดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นในลักษณะเดียวกันกับ หุ้นที่อิงธุรกิจส่งออก ทั้ง WICE, JWD และ HANA ที่เราแนะนำในวันนี้ ........ สำหรับ KCE กำลังจะมีการพิจารณา แตพพาร์ จาก 1.0 เป็น 0.50 บาท .... ราคาที่เหมาะสมของ KTBST อยู่ที่ 80.00 บาท (ก่อนแตกพาร์)
(+) TVO : (ราคาปิด 33 บาท)
ราคากากถั่วเหลืองในตลาดโลก มีราคาสูงขึ้นค่อนข้างมาก ล่าสุด สูงขึ้น 10% จากปลายปีก่อน เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ควมกังวลจะลดลง หากจีนไม่มีการใช้มาตรการภาษีต่อสหรัฐฯ สำหรับ ถั่วเหลือง ..... เราประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ที่ 2.2 พันล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2017 ที่ 1.3 พันล้านบาทแต่ต่ำกว่าปีที่ดีมากอย่างปี 2016. ….. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 39.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Media โฆษกรัฐบาลคาด คสช.ออกมาตรการช่วยทีวีดิจิทัลไม่เกิน 1 สัปดาห์
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คาดว่า ภายใน 1 สัปดาห์จากนี้ คสช. จะมีการออก ม. 44 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีข้อสรุปเป็นที่ชัดเจนแล้ว และคงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม คสช.อีกครั้ง เพราะมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมระบุว่านายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายไว้ว่าเรื่องใดที่มีข้อสรุปแล้วก็ให้ดำเนินการไปได้เลย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาทีวีดิจิทัลจึงไม่จำเป็นต้องรอออกมาพร้อมกับการแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการโทรคมนาคม (ที่มา: Infoquest, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เราคาดว่าการออก ม.44 จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 17 เม.ย. 2018 ซึ่งเราคาดว่ามาตรการการช่วยเหลือทีวีดิจิทัลระยะสั้นและระยะยาวอาจเป็น การเลื่อนจ่ายค่าใบอนุญาต 3 ปีโดยยังคงคิดดอกเบี้ยที่ 1.5% ,กสทช.จะลดค่า MUX 50% เป็นเวลา 2 ปี และการอนุญาตให้มีการเปลี่ยนสิทธิ์การถือครองใบอนุญาตทีวีดิจิตอลได้ เรามองว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากข่าวข้างต้น คือ BEC (ถือ /13.50 บาท), GRAMMY (consensus TP 8.43 บาท), RS (ซื้อ / 35 บาท), WORK (consensus TP 93.29 บาท) และ MONO (consensus TP 5.12 บาท) โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก ม.44 และการลดค่า MUX ยังคงเป็น BEC เนื่องจากมี License ถึง 3 ใบ ซึ่งการลดค่า MUX 50% จะส่งผลให้ Net profit ของ BEC เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 110 ล้านบาท เรามองว่าราคาหุ้นที่ได้ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม” หุ้นกลุ่มทีวีดิจิทัล โดย Top pick คือ หุ้น RS เราแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 35 บาท โดยเรามองว่าผลประกอบการปีนี้ยังคงเติบโตโดดเด่นที่+148% YoY อยู่ที่ 827 ล้านบาท สำหรับ BEC เรามองว่าเป็นหุ้น BEC จะได้รับผลบวกมากที่สุดจากการลดค่า MUX เรามองว่าราคาที่ปรับตัวลงมา ส่งผลให้มี Upside อยู่ที่ 15% จากราคาเหมาะสมของเราที่ 13.5 บาท เราแนะนำ “ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น” จากข่าวข้างต้น
(+) THG เข้าซื้อหุ้น 55-60% รพ.ธนราษฎร์ทุ่งสง พร้อมซื้ออาคาร-ที่ดินย่านประชาอุทิศทำ Thonburi Senior Home
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท THG เมื่อวันที่ 9 เม.ย.18 มีมติอนุมัติลงทุนในหุ้น บจก.ธนราษฎร์ทุ่งสง (โรงพยาบาลธนบุรี ทุ่งสง) จำนวน 55-60% มูลค่าไม่เกิน 240 ล้านบาท และอนุมัติซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนถนนประชาอุทิศ มูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโครงการ Thonburi Senior Home (ที่มา: SET)
ความเห็น: เรามองประเด็นข่าวดังกล่าวเป็นบวกในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้ากับ THG แต่ระยะสั้นช่วง 1-3 ปี การลงทุนในโรงพยาบาล green field จะมีผลขาดทุนก่อน แต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นการเข้าซื้อเกิน 50% ซึ่งจะถือเป็นบริษัทย่อย คาดโรงพยาบาลธนบุรี ทุ่งสงจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2019 ส่วนการลงทุนในที่ดินและอาคารสำหรับก่อสร้าง Thonburi Senior Home เราคาดว่าโครงการจะมีลักษณะคล้ายกับโครงการ Jin Wellbeing County แต่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นระดับล่างกว่า ซึ่งการเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นการซื้อที่ราคาต่ำกว่าประเมิน อย่างไรก็ตามเรายังไม่ทราบรายละเอียดของทั้ง 2 โครงการ ทั้งนี้ เรายังคงแนะนำ ซื้อ THG ที่ราคาเหมาะสม 47.00 บาท
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท THG เมื่อวันที่ 9 เม.ย.18 มีมติอนุมัติลงทุนในหุ้น บจก.ธนราษฎร์ทุ่งสง (โรงพยาบาลธนบุรี ทุ่งสง) จำนวน 55-60% มูลค่าไม่เกิน 240 ล้านบาท และอนุมัติซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนถนนประชาอุทิศ มูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโครงการ Thonburi Senior Home (ที่มา: SET)
ความเห็น: เรามองประเด็นข่าวดังกล่าวเป็นบวกในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้ากับ THG แต่ระยะสั้นช่วง 1-3 ปี การลงทุนในโรงพยาบาล green field จะมีผลขาดทุนก่อน แต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นการเข้าซื้อเกิน 50% ซึ่งจะถือเป็นบริษัทย่อย คาดโรงพยาบาลธนบุรี ทุ่งสงจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2019 ส่วนการลงทุนในที่ดินและอาคารสำหรับก่อสร้าง Thonburi Senior Home เราคาดว่าโครงการจะมีลักษณะคล้ายกับโครงการ Jin Wellbeing County แต่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นระดับล่างกว่า ซึ่งการเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นการซื้อที่ราคาต่ำกว่าประเมิน อย่างไรก็ตามเรายังไม่ทราบรายละเอียดของทั้ง 2 โครงการ ทั้งนี้ เรายังคงแนะนำ ซื้อ THG ที่ราคาเหมาะสม 47.00 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) AOT (ซื้อ/77.00 บาท) คาดกำไรสุทธิ 2Q18 โดดเด่น และทำสถิติสูงสุดใหม่
คาดกำไรสุทธิ 2Q18 (ม.ค.-มี.ค.2018) โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 7.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY และ 14% QoQ ตามทิศทางจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ การเติบโตของจำนวนผู้โดยสารจะมาจากผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดีเนื่องจากรายได้ PSC ของผู้โดยสารระหว่างประเทศสูงกว่าในประเทศ และจะช่วยทำให้รายได้ Concession ที่เติบโตได้ดี สำหรับกำไรสุทธิ 1H18 (ต.ค.2017-มี.ค.2018) จะอยู่ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 52% จากกำไรสุทธิทั้งปี 2018 (ต.ค.2017-
ก.ย.2018) ที่ 2.57 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% YoY โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 2H18 (เม.ย.-ก.ย.2018) จะยังคงปรับตัวดีขึ้น YoY ได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 77 บาท
(+) AOT (ซื้อ/77.00 บาท) คาดกำไรสุทธิ 2Q18 โดดเด่น และทำสถิติสูงสุดใหม่
คาดกำไรสุทธิ 2Q18 (ม.ค.-มี.ค.2018) โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 7.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY และ 14% QoQ ตามทิศทางจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ การเติบโตของจำนวนผู้โดยสารจะมาจากผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดีเนื่องจากรายได้ PSC ของผู้โดยสารระหว่างประเทศสูงกว่าในประเทศ และจะช่วยทำให้รายได้ Concession ที่เติบโตได้ดี สำหรับกำไรสุทธิ 1H18 (ต.ค.2017-มี.ค.2018) จะอยู่ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 52% จากกำไรสุทธิทั้งปี 2018 (ต.ค.2017-
ก.ย.2018) ที่ 2.57 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% YoY โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 2H18 (เม.ย.-ก.ย.2018) จะยังคงปรับตัวดีขึ้น YoY ได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 77 บาท
(0) KTC (ถือ/285.00 บาท) แม้กำไรสุทธิจะออกมาดี แต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกินมูลค่า
คาดกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 933 ล้านบาท ขยายตัว 27.4%YoY โดยได้รับแรงหนุนของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเดือน ม.ค.-ก.พ. 2018 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 8.9% และการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าอยู่ที่ 3.13% อย่างไรก็ตามกำไรสุทธินี้จะอ่อนตัวที่ 0.6%QoQ แม้เรามองว่าบริษัทจะลดการตั้งสำรอง 4.5% แต่จากยอดใช้จ่ายในเดือน ก.พ. 2018 ที่อ่อนตัวเทียบกับ ธ.ค. 2017 ที่ 24% ตามฤดูกาล ส่งผลให้เราคาดว่าสินเชื่อของบริษัท ณ 1Q18 จะย่อตัวที่ 6%คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 4.0 พันล้านบาท (+23%) จากการขยายสินเชื่อก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญรวม 12% และการเข้าสู่สังคม Cashless ที่คาดว่าช่วยเพิ่มการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทจะมี Credit Cost ลดลงเป็น 7.7% จากการที่บริษัทมีการตั้งสำรองที่สูง โดยคิดเป็นสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 7.7% อย่างไรก็ตามจากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่าราคาหุ้นได้เต็มมูลค่าพื้นฐาน และสูงกว่าอุตสาหกรรม แต่หากเราเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเราพบว่า KTC มีความเสี่ยงจากการควบคุมในอนาคตที่ต่ำกว่า และมีโอกาสในการขยายตัวในอนาคตที่สูง เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 285.00 บาท (อิง PBV 4.9x) หรือคิดเป็นราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 335.00 บาท
คาดกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 933 ล้านบาท ขยายตัว 27.4%YoY โดยได้รับแรงหนุนของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเดือน ม.ค.-ก.พ. 2018 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 8.9% และการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าอยู่ที่ 3.13% อย่างไรก็ตามกำไรสุทธินี้จะอ่อนตัวที่ 0.6%QoQ แม้เรามองว่าบริษัทจะลดการตั้งสำรอง 4.5% แต่จากยอดใช้จ่ายในเดือน ก.พ. 2018 ที่อ่อนตัวเทียบกับ ธ.ค. 2017 ที่ 24% ตามฤดูกาล ส่งผลให้เราคาดว่าสินเชื่อของบริษัท ณ 1Q18 จะย่อตัวที่ 6%คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 4.0 พันล้านบาท (+23%) จากการขยายสินเชื่อก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญรวม 12% และการเข้าสู่สังคม Cashless ที่คาดว่าช่วยเพิ่มการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทจะมี Credit Cost ลดลงเป็น 7.7% จากการที่บริษัทมีการตั้งสำรองที่สูง โดยคิดเป็นสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 7.7% อย่างไรก็ตามจากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่าราคาหุ้นได้เต็มมูลค่าพื้นฐาน และสูงกว่าอุตสาหกรรม แต่หากเราเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเราพบว่า KTC มีความเสี่ยงจากการควบคุมในอนาคตที่ต่ำกว่า และมีโอกาสในการขยายตัวในอนาคตที่สูง เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 285.00 บาท (อิง PBV 4.9x) หรือคิดเป็นราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 335.00 บาท
(0) กลุ่มไฟฟ้า (Neutral rating) ทิศทางพลังงานไทย ก้าวสู่ยุคพลังงานดิจิทัล
สำนักนายกรัฐมนตีได้เผยแพร่เอกสารเรื่อง “การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านพลังงาน” เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2018 โดยประเด็นสำคัญมุ่งเน้นไปที่ 1) จะเน้นจะมีการจัดทำแผนพลังงานไฟฟ้าฉบับใหม่ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของการบริโภคไฟฟ้าในอนาคต, การแบ่งชนิดของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงและการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านระบบ smart energy grid, 2) จะผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์การการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวของ, 3) จะยังคงสนับสนุนโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากขยะมูลฝอย (Waste-to-energy) และชีวมวล (Biomass), และการส่งเสริมการเปิดเสรีระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (solar rooftop) อย่างจริงจัง โดยที่ต้นทุนค่าไฟฟ้าต้องไม่สูงมากจนเป็นภาระต่อผู้บริโภคมากเกินไป, และ 4) การส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งเรามีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) กับแผนแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานฉบับใหม่นี้ การกำหนดนโยบายทิศทางพลังงานไทยเพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานดิจิทัล ถือว่าเหมาะสม สำหรับผลกระทบต่อบริษัทผลิตไฟฟ้า เรามองเป็นลบต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมขนาดใหญ่ (Solar and wind farm) ในประเทศที่จะถูกลดบทบาทลง ในขณะที่บริษัทที่มีโครงการไฟฟ้าที่ได้ PPA แล้วในจำนวนมากและมีสัดส่วนของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศน้อยจะได้รับผลกระทบจำกัด เช่น GULF, BGRIM ในขณะที่บริษัทที่มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่และ ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เช่น EA, GPSC, และ BANPU และ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น EA จะมีโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาวได้มากกว่า ทั้งนี้ในหุ้นที่เราวิเคราะห์ 4 ตัว เราชอบและคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GULF (ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท) และ BGRIM (ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท) โดยเรามองว่าหุ้นกลุ่มไฟฟ้ามีการปรับตัวลงมากเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานนี้
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
OO7397
สำนักนายกรัฐมนตีได้เผยแพร่เอกสารเรื่อง “การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านพลังงาน” เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2018 โดยประเด็นสำคัญมุ่งเน้นไปที่ 1) จะเน้นจะมีการจัดทำแผนพลังงานไฟฟ้าฉบับใหม่ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของการบริโภคไฟฟ้าในอนาคต, การแบ่งชนิดของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงและการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านระบบ smart energy grid, 2) จะผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์การการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวของ, 3) จะยังคงสนับสนุนโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากขยะมูลฝอย (Waste-to-energy) และชีวมวล (Biomass), และการส่งเสริมการเปิดเสรีระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (solar rooftop) อย่างจริงจัง โดยที่ต้นทุนค่าไฟฟ้าต้องไม่สูงมากจนเป็นภาระต่อผู้บริโภคมากเกินไป, และ 4) การส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งเรามีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) กับแผนแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานฉบับใหม่นี้ การกำหนดนโยบายทิศทางพลังงานไทยเพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานดิจิทัล ถือว่าเหมาะสม สำหรับผลกระทบต่อบริษัทผลิตไฟฟ้า เรามองเป็นลบต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมขนาดใหญ่ (Solar and wind farm) ในประเทศที่จะถูกลดบทบาทลง ในขณะที่บริษัทที่มีโครงการไฟฟ้าที่ได้ PPA แล้วในจำนวนมากและมีสัดส่วนของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศน้อยจะได้รับผลกระทบจำกัด เช่น GULF, BGRIM ในขณะที่บริษัทที่มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่และ ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เช่น EA, GPSC, และ BANPU และ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น EA จะมีโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาวได้มากกว่า ทั้งนี้ในหุ้นที่เราวิเคราะห์ 4 ตัว เราชอบและคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GULF (ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท) และ BGRIM (ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท) โดยเรามองว่าหุ้นกลุ่มไฟฟ้ามีการปรับตัวลงมากเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานนี้
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
OO7397