- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 April 2018 17:31
- Hits: 3383
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
หุ้นโลกฟื้น หลังคลายความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน เมื่อผู้นำจีนมีท่าทีอ่อนลง รวมทั้งตลาดหุ้นโลกปรับฐานมาระดับหนึ่งแล้ว เชื่อว่าน่าจะช่วยผ่อนคลายหุ้นส่งออกที่เคยถูกกดดันจากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีฐานการผลิตในจีน แต่มองว่าความขัดแย้งการค้ายังมีอยู่ ต้องติดตามการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมหลังจากนี้ ประเด็นหนุนในประเทศยังเป็นราคาเนื้อสัตว์ที่ฟื้นตัว และเข้าสู่ฤดูกาลส่งออก บวกต่อ CPF, TFG, GFPT เน้นเลือกหุ้นที่มี Downside จำกัด ... Top Picks เลือก CPF (FV@B30) และ HANA (FV@B46)
ย้อนรอยหุ้นไทยวานนี้ …. ดัชนีฯฟื้นช่วงบ่าย ขานรับสุนทรพจน์ สี จิ้น ผิง
SET index วานนี้ แกว่งผันผวนในช่วงเช้า แต่ภาคบ่ายสามารถฟื้นตัวขึ้น ขานรับสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่พร้อมเปิดเสรีเศรษฐกิจจีน ด้วยการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าในหลายกลุ่ม เช่น รถยนต์ ดันดัชนีปิดที่ 1,760.95 จุด บวก 9.68 จุด หรือ 0.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 6.03 หมื่นล้านบาท นำโดยหุ้น PTT และโรงไฟฟ้า EA GULF ตามด้วย CPN, AOT เพิ่มขึ้น 4.18% และ 2.13% ตามลำดับ ตรงข้ามกับหุ้นปิโตรฯ PTTGC VNT และหุ้น ADVANC ฉุดตลาดลงเล็กน้อย
วันนี้คาด SET Index ฟื้นตัวต่อแต่มีกรอบจำกัด ให้แนวต้าน 1770 จุด และแนวรับ 1750 จุด ยังให้น้ำหนักการเจรจาการค้าสหรัฐ–จีน กลยุทธ์เน้นลงทุนหุ้นที่มี downside จำกัด HANA, CPF
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนผ่อนคลายช่วงสั้น ปมปัญหายังมีอยู่
สงครามการค้าสหรัฐ-จีนในช่วงสั้นเริ่มมีท่าผ่อนคลาย แม้ไม่ได้มีการเจรจากันนอกรอบ แต่จีนมีท่าทีผ่อนปรนลง หลังจากเมื่อวานนี้กล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ที่มณฑลไห่หนาน ใจความสำคัญคือ จีนพร้อมลดภาษีนำเข้ารถยนต์ (ยังไม่ระบุรายละเอียดจากเดิมราว 25%) และภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆในปีนี้ และจะผ่อนปรนเกณฑ์การเข้ามาลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจ ธนาคาร, หลักทรัพย์ และประกัน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามจีนเรียกร้องขอให้สหรัฐผ่อนปรนเงื่อนไขที่จะให้จีนลดการได้ดุลการค้ากับสหรัฐ จากเดิม 1 แสนล้านเหรียญฯ เหลือ 5 หมื่นล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่าเป็นปมปัญหาที่อาจจะทำให้การเจรจายังยืดเยื้อ
อย่างไรก็ตามแม้ท่าทีของจีนผ่อนคลายลง แต่ยังให้น้ำหนักต่อ จีนจะดำเนินการเป็นรูปธรรมได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้า 25% ของสหรัฐวงเงิน 1.5 แสนนล้านเหรียญฯ ในสินค้าเทคโนโลยี และอื่นๆ ที่ยังไม่ระบุ น่าจะเป็นหลายพันรายการ ขณะที่จีนตอบโตขึ้นภาษีนำเข้า 25% ของสหรัฐวงเงิน 5.3 หมื่นล้านเหรียญฯ 234 รายการ หลักๆ คือ ถั่วเหลือง, เครื่องบิน ยังเป็นปมปัญหาจะจบตรงไหน แม้ท้ายสุดคาดว่าจะตกลงกันได้ แต่อยู่ที่ใครจะยอมถอยมากกว่า
ราคาน้ำมันดูไบมีแนวต้าน 68 เหรียญฯ หุ้น PTTEP ฟื้น แต่ติดแนวต้านระยะสั้น
ตลาดผ่อนคลายความตึงเครียดสงครามการค้าสหรัฐ-จีนดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับแรงหนุนจากปัญหาด้าน supply จากตะวันออกกลาง โดยในซีเรียมีโอกาสถูกสหรัฐคว่ำบาตร เนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศหลังกองกำลังของซีเรียได้สารเคมีสังหารกลุ่มกบฎ และค่าเงิน Dollar Index ยังอ่อนค่าในช่วงสั้น (นับตั้งแต่ต้นปีอ่อนค่า 2.4% หนุนราคาน้ำมันดิบดูไบแกว่งตัวขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 68.2 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ytd 64.4 เหรียญฯ) ใกล้เคียงกับสมมติฐานที่ ASPS ประเมินไว้ 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังแนะนำสะสมลงทุนระยะยาว PTTEP (FV@B137) เพราะมี Upside 19.1% และมีโอกาสปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นอีกหุ้นละ 25 บาท โดยแนะนำซื้อเมื่อราคาย่อตัว
แรงขายหุ้นในภูมิภาคลดลง ขานรับสุนทรพจน์ผู้นำจีน
ความกังวลสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ผ่อนคลายลงบ้าง หลังผู้นำจีน นายสีจิ้นผิง ออกมากล่าวสุนทรพจน์ในเช้าวานนี้ (รายละเอียดดังที่กล่าวไว้ข้างต้น) หนุนให้ต่างชาติขายหุ้นในภูมิภาคเบาลง และมีการสลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อยในบางประเทศ โดยภาพรวมต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่า 159 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิ 3 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ขายสุทธิ 126 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยไต้หวัน 41 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5), ฟิลิปปินส์ 9 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ยกเว้นที่ซื้อ 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย แต่ซื้อสุทธิเล็กน้อย 1 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 6 วัน) และไทยซื้อสุทธิ 16 ล้านเหรียญ หรือ 499 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันฯในประเทศที่ซื้อสุทธิ 576 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิ 3.04 หมื่นล้านบาท ต่างกับต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิ 6.17 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ตลาดฟื้นช่วงสั้น เน้นหุ้นที่ Downside จำกัด HANA, CPF
บรรยายกาศการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยคลายความกังวลประเด็น Trade war หลังจีนออกมาแถลงการณ์ในทิศทางโอนอ่อนมากขึ้น ตามรายละเอียดข้างต้น จึงป็นโอกาสดีต่อหุ้นส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ราคาหุ้นในกลุ่มฯ ปรับลดลงแรงตลอดตั้งแต่ต้นปี โดย HANA(FV@B46) ราคาหุ้นลดลงกว่า 40% จากบริเวณ 50 บาท เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว แม้ว่า HANA จะมีฐานการผลิตในจีนราว 23% ของกำลังการผลิตรวม (โรงงาน IC และ PBCB ที่เจียซิงประเทศจีน 1273.28 ล้านชิ้นต่อปี และ 63.52 ล้านชิ้น ตามลำดับ) แต่มีการส่งออกไปตลาดสหรัฐเพียง 11% ของรายได้รวมเท่านั้น ขณะที่หุ้น DELTA([email protected]) ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากสุดในกลุ่ม เพราะมีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐสูงถึง 25% แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากดีล M&A กับบริษัทในประเทศเยอรมนี ที่จะสามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ในอนาคต จึงเชื่อว่าราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับลงแรงบวกกับผลกระทบที่คลี่คลายลง จึงแนะนำซื้อเก็งกำไร
ส่วนกลุ่มส่งออกอาหาร จะเข้าสู่ช่วง high season ในช่วง 2Q61 คาดเห็นราคาไก่-สุกร ขยับขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดราคาสุกรหน้าฟาร์มอยู่ทิ่ 62 บาท/ก.ก. เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค. 61 อย่างมีนัยฯ สำคัญ โดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรรายใหญ่ลดการผลิตลง บวกกับประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนทำให้สุกรมีการเติบโตที่ช้าลง ซึ่งน่าจะหนุนราคาสุกรในประเทศฟื้นตัวต่อ ขณะที่ประเด็นจีนตอบโต้สหรัฐด้วยเก็บภาษีสินค้านำเข้าสินค้าเกษตรโดยเฉพาะผลไม้และเนื้อสุกร ที่คลี่คลายลง อาจไม่ได้เป็นบวกมากนักต่อโอกาสการส่งออกของไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าจากสหรัฐ แต่ยังมีสัญญาณดีที่จีนไว้วางใจสินค้าไทยมากขึ้น (ก่อนหน้านี้จีนอนุญาตให้นำเข้าไก่จากไทย) สำหรับสัดส่วนผู้ที่มีรายได้จากธุรกิจสุกรในประเทศ ได้แก่ TFG (21% ของรายได้รวม) และ CPF (14% ของรายได้รวม) ส่วนธุรกิจไก่ GFPT, TFG และ CPF ที่มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจไก่ในไทย 80%, 70% และ 10% ตามลำดับ ฝ่ายวิจัยยังแนะนำ CPF (FV@B30) และ TFG (FV@B6) ที่ทำธุรกิจครบวงจร ได้ประโยชน์จากราคาสุกรที่ฟื้นตัว อาจได้ฐานส่งออกเพิ่มและตลาดส่งออกไก่ดีขึ้น และแนะนำซื้อ GFPT (FV@B17) จากธุรกิจไก่จะฟื้นตัวตั้งแต่งวด 2Q61 จากแนวโน้มตลาดส่งออกไก่ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังแนะนำหุ้น Domestic Play ที่อิงการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ แต่ราคาหุ้นยัง laggard ได้แก่
กลุ่มอสังหาฯ : ตั้งแต่ต้นปัจจุบัน SET Index เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3%ytd แต่กลุ่มอสังหาฯ ลดลงถึง 3.3%ytd อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเป็นรายหุ้น พบว่ามีหลายบริษัทที่การเติบโตของผลการดำเนินงานเติบโตได้มากกว่าตลาดฯ แต่ราคาหุ้นปรับฐานลงแรงเกินไป เช่น SC ([email protected]) คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตถึง 74%, ANAN ([email protected]) แม้จะมีปัญหาโครงการ Ashton-Asoke ที่โอนไม่ทันในปีนี้ จนต้องปรับประมาณการฯ ลง แต่คาดกำไรสุทธิในปีนี้ยังโตได้เกือบ 20% นอกจากนี้ ราคาหุ้นหลายบริษัทในกลุ่มปรับลดลงจนมี div.yield สูง เช่น QH ([email protected]) มี div.yield สูงถึง 7%, SIRI ([email protected]) มี div.yield สูงถึง 7% เช่นกัน, LH (FV@B13) มี div.yield สูงถึง 6.5%, PSH (FV@B28) มี div.yield สูงถึง 6.3%
กลุ่มรับเหมาฯ : ผลตอบแทนกลุ่มฯ ลดลงถึง 19.5%ytd สวนทางกับแนวโน้มผลประกอบการหลายหุ้นที่เติบโต เช่น SEAFCO (FV@B12) คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตถึง 32%, CK (FV@B34) คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตราว 15% ส่วน STEC (FV@B25) คาดผลประกอบการปีนี้กลับมา turnaround ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อน ยังคงเป็นโครงการลงทุนภาครัฐที่น่าจะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในเดือน เม.ย. นี้ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่เฟสสอง ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ มูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาท และน่าจะมีการเปิดประกวดราคาได้ในเดือน ก.ค.-ก.ย. 61 เช่นเดียวกับงานฐานราก ที่ถือว่าปีนี้เป็นปีทองของธุรกิจเสาเข็มอย่างแท้จริง เพราะจะมีงานโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่เริ่มดำเนินการแล้ว ตามด้วยรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูในช่วง 2Q61 ส่วนงานเอกชนอย่าง The One Bangkok และ Super Tower คาดว่าจะเริ่มต้นได้ในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยรวมจึงเชื่อว่ากลุ่มรับเหมาฯ น่าจะกลับมา outperform ได้หลังจากนี้
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO7394