- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 April 2018 17:16
- Hits: 6513
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“มี Momentum ไปต่อ”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ rebound ต่อ เป้าหมายบแรก 1760 จุด ..... การตอบโต่ในรื่องการค้า ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ดูอ่อนลง ส่งผลบวกต่อตลาดเอเซียและไทย เสริมด้วยมุมมองของ World Bank ในรายงานที่เปิดเผยวานนี้ ที่ประเมิน GDP ปีนี้ 4.1% จากปีก่อน 3.9% ด้วยแรงหนุนส่งออก-การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนส่งจาก นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากในสัปดาห์ก่อน .... วันนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ จะเป็นท่าทีของจีนต่อมาตรการการค้าต่อสหรัฐฯ และประชุม ครม.วันนี้ มีวาระของกสทช.ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรศัพท์และทีวีดิจิตอล กลับมานำเสนออีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน:
ภาพโดยรวมของตลาดดีขึ้นหลังนักลงทุนไม่ได้ขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คาดวันนี้แรงบวกน่าจะลดลง เพราะนักลงทุนจะยังระมัดระวังตัวก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวปลายสัปดาห์นิ้... กลยุทธ์ เราแนะนำเป็นเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่คาดมีแรงซื้อ กลับหรือมี Momentum ที่จะไปต่อ อาทิ BDMS , HMPRO , MINT และ BBL .. ส่วนหุ้นที่เรามองว่าเป็น Defensive และ จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง คือ LH ที่มี Dividend Yield 6-7% ต่อปี (ข้อมูลคาดการณ์โดย Bloomberg)
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: SCC , CPF
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) SCC* : (ราคาปิด 492 บาท)
ในช่วง 1Q-18 เราประเมินว่า SCC น่าจะได้ประโยชน์จากราคา Naphtha (วัตถุดิบ) ที่ปรับตัวลง 6% Ytd แต่ ราคา HDPE (ราคาขายอ้างอิง) ปรับตัวขึ้น 3% Ytd ....... น่าจะทำให้ margin ของ SCC ในส่วนของปิโตรเคมี 1Q-18 ดีขึ้น ....... ผลสำรวจของ Bloomberg กำไร 1Q-18 ของ SCC จะอยู่ที่ 1.37 หมื่นล้านบาท -21% YoY ; +9% QoQ
(+) CPF : (ราคาปิด 24.80 บาท)
CPF จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาสุกรในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัว ล่าสุด 62 บาท/กก. จากผู้ผลิตที่เริ่มลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากปรับตัวกับภาวะอุปทานที่ล้นตลาดในปีก่อนหน้านี้ ........... CPFยังได้ประโยชน์จากการที่จีนประกาศตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯโดยมีแผนที่จะจัดเก็บในอัตรา 25% สำหรับสุกรนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้จีนต้องนำเข้าหมูจากประเทศไทยและเวียดนามมากขึ้น นอกจากนั้นจีนยังมีการอนุญาตินำเข้าเนื้อไก่และชิ้นส่วนไก่ของไทย….. คาดกำไรปี 2018 จะฟื้นตัวตามราคาผลิตภัณฑ์ โดยเติบโต 23% มาอยู่ที่ 6.04 พันลบ. ….. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 29.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) AOT, AAV: วิทยุการบินฯ เผยตัวเลขเที่ยวบินช่วงสงกรานต์เพิ่ม 11% จากปีก่อน
นางสาริณี อังศุสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผย ช่วงสงกรานต์ปีนี้ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย.2018 ประมาณการว่าจะมีเที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศที่ เข้า-ออก ณ ท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 19,100 เที่ยวบิน และมีเที่ยวบินที่ขอเพิ่มพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (Extra & Charter Flight) รวม 182 เที่ยวบิน ทำให้คาดว่าปริมาณเที่ยวบินทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 1,888 เที่ยวบิน หรือคิดเป็น 11%
ขณะที่ก่อนหน้านี้ AOT ยังมีการคาดการณ์ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT จะมีจำนวนเที่ยวบินกว่า 17,550 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.9% และมีผู้โดยสารกว่า 3.01 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่มา: เว็บไซต์เดลินิวส์, อินโฟเควสท์)
ความเห็น: เรามองเป็นบวกโดยตรงต่อ AOT ที่เป็นผู้ให้บริการท่าอากาศยานหลักในประเทศ โดยยังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 77 บาท ขณะที่เรายังคาดว่ากำไรสุทธิของ AOT ในงวด 2Q18 (ม.ค.-มี.ค.2018) จะโดดเด่นทำสถิติสูงสุดใหม่ นอกจากนั้น เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่มสายการบิน โดยเรายังคงชอบ AAV มากสุด เนื่องจากมีจำนวนเส้นทางบินกระจายทั่วประเทศ และยังมี Market Share ในส่วนของจำนวนผู้โดยสารของเที่ยวบินในประเทศสูงสุดราว 31% อีกทั้งเราคาดว่ากำไรสุทธิงวด 1Q18 จะเติบโตโดดเด่น 22% YoY และ 46% QoQ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ AAV ราคาเป้าหมาย 6.90 บาท
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
คาดดัชนีฯ rebound ต่อ เป้าหมายบแรก 1760 จุด ..... การตอบโต่ในรื่องการค้า ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ดูอ่อนลง ส่งผลบวกต่อตลาดเอเซียและไทย เสริมด้วยมุมมองของ World Bank ในรายงานที่เปิดเผยวานนี้ ที่ประเมิน GDP ปีนี้ 4.1% จากปีก่อน 3.9% ด้วยแรงหนุนส่งออก-การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนส่งจาก นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากในสัปดาห์ก่อน .... วันนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ จะเป็นท่าทีของจีนต่อมาตรการการค้าต่อสหรัฐฯ และประชุม ครม.วันนี้ มีวาระของกสทช.ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรศัพท์และทีวีดิจิตอล กลับมานำเสนออีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน:
ภาพโดยรวมของตลาดดีขึ้นหลังนักลงทุนไม่ได้ขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คาดวันนี้แรงบวกน่าจะลดลง เพราะนักลงทุนจะยังระมัดระวังตัวก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวปลายสัปดาห์นิ้... กลยุทธ์ เราแนะนำเป็นเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่คาดมีแรงซื้อ กลับหรือมี Momentum ที่จะไปต่อ อาทิ BDMS , HMPRO , MINT และ BBL .. ส่วนหุ้นที่เรามองว่าเป็น Defensive และ จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง คือ LH ที่มี Dividend Yield 6-7% ต่อปี (ข้อมูลคาดการณ์โดย Bloomberg)
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: SCC , CPF
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) SCC* : (ราคาปิด 492 บาท)
ในช่วง 1Q-18 เราประเมินว่า SCC น่าจะได้ประโยชน์จากราคา Naphtha (วัตถุดิบ) ที่ปรับตัวลง 6% Ytd แต่ ราคา HDPE (ราคาขายอ้างอิง) ปรับตัวขึ้น 3% Ytd ....... น่าจะทำให้ margin ของ SCC ในส่วนของปิโตรเคมี 1Q-18 ดีขึ้น ....... ผลสำรวจของ Bloomberg กำไร 1Q-18 ของ SCC จะอยู่ที่ 1.37 หมื่นล้านบาท -21% YoY ; +9% QoQ
(+) CPF : (ราคาปิด 24.80 บาท)
CPF จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาสุกรในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัว ล่าสุด 62 บาท/กก. จากผู้ผลิตที่เริ่มลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากปรับตัวกับภาวะอุปทานที่ล้นตลาดในปีก่อนหน้านี้ ........... CPFยังได้ประโยชน์จากการที่จีนประกาศตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯโดยมีแผนที่จะจัดเก็บในอัตรา 25% สำหรับสุกรนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้จีนต้องนำเข้าหมูจากประเทศไทยและเวียดนามมากขึ้น นอกจากนั้นจีนยังมีการอนุญาตินำเข้าเนื้อไก่และชิ้นส่วนไก่ของไทย….. คาดกำไรปี 2018 จะฟื้นตัวตามราคาผลิตภัณฑ์ โดยเติบโต 23% มาอยู่ที่ 6.04 พันลบ. ….. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 29.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) AOT, AAV: วิทยุการบินฯ เผยตัวเลขเที่ยวบินช่วงสงกรานต์เพิ่ม 11% จากปีก่อน
นางสาริณี อังศุสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผย ช่วงสงกรานต์ปีนี้ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย.2018 ประมาณการว่าจะมีเที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศที่ เข้า-ออก ณ ท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 19,100 เที่ยวบิน และมีเที่ยวบินที่ขอเพิ่มพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (Extra & Charter Flight) รวม 182 เที่ยวบิน ทำให้คาดว่าปริมาณเที่ยวบินทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 1,888 เที่ยวบิน หรือคิดเป็น 11%
ขณะที่ก่อนหน้านี้ AOT ยังมีการคาดการณ์ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT จะมีจำนวนเที่ยวบินกว่า 17,550 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.9% และมีผู้โดยสารกว่า 3.01 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่มา: เว็บไซต์เดลินิวส์, อินโฟเควสท์)
ความเห็น: เรามองเป็นบวกโดยตรงต่อ AOT ที่เป็นผู้ให้บริการท่าอากาศยานหลักในประเทศ โดยยังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 77 บาท ขณะที่เรายังคาดว่ากำไรสุทธิของ AOT ในงวด 2Q18 (ม.ค.-มี.ค.2018) จะโดดเด่นทำสถิติสูงสุดใหม่ นอกจากนั้น เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่มสายการบิน โดยเรายังคงชอบ AAV มากสุด เนื่องจากมีจำนวนเส้นทางบินกระจายทั่วประเทศ และยังมี Market Share ในส่วนของจำนวนผู้โดยสารของเที่ยวบินในประเทศสูงสุดราว 31% อีกทั้งเราคาดว่ากำไรสุทธิงวด 1Q18 จะเติบโตโดดเด่น 22% YoY และ 46% QoQ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ AAV ราคาเป้าหมาย 6.90 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) Auto Sector (Neutral) ยอดจองรถยนต์ Motor Show 2018 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% YoY
งาน Motor Show 2018 ประสบความสำเร็จ มีผู้เข้าชม 1.62 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้เข้าชม 1.6 ล้านคน โดยมียอดจองรถยนต์ 36,587 คัน เติบโต 18% YoY เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยค่ายรถยนต์ที่มียอดจองมากสุด ได้แก่ โตโยต้า, ฮอนด้า, มาสด้า, อีซูซุ และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งจากยอดจองรถยนต์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการเริ่มทยอยปลดล็อกรถยนต์คันแรก, ภาคการเกษตรมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้รถปิกอัพ และรถยนต์นั่งขนาดกลางและขนาดเล็ก ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ทั้งนี้ เรามองเป็นบวกต่อกลุ่มยานยนต์ ได้แก่ AH (ราคาเป้าหมาย 42 บาท) และ SAT (ราคาเป้าหมาย 22 บาท) ที่มีการผลิตชิ้นส่วนรถปิกอัพเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ ได้แก่ KKP (ราคาเป้าหมาย 84 บาท) และ GPI (ราคาเป้าหมาย 4.30) ที่เป็นผู้จัดงาน Motor Show
(+) Auto Sector (Neutral) ยอดจองรถยนต์ Motor Show 2018 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% YoY
งาน Motor Show 2018 ประสบความสำเร็จ มีผู้เข้าชม 1.62 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้เข้าชม 1.6 ล้านคน โดยมียอดจองรถยนต์ 36,587 คัน เติบโต 18% YoY เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยค่ายรถยนต์ที่มียอดจองมากสุด ได้แก่ โตโยต้า, ฮอนด้า, มาสด้า, อีซูซุ และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งจากยอดจองรถยนต์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการเริ่มทยอยปลดล็อกรถยนต์คันแรก, ภาคการเกษตรมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้รถปิกอัพ และรถยนต์นั่งขนาดกลางและขนาดเล็ก ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ทั้งนี้ เรามองเป็นบวกต่อกลุ่มยานยนต์ ได้แก่ AH (ราคาเป้าหมาย 42 บาท) และ SAT (ราคาเป้าหมาย 22 บาท) ที่มีการผลิตชิ้นส่วนรถปิกอัพเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ ได้แก่ KKP (ราคาเป้าหมาย 84 บาท) และ GPI (ราคาเป้าหมาย 4.30) ที่เป็นผู้จัดงาน Motor Show
(0) CHG (ถือ/2.00 บาท) คาดกำไรปกติ 1Q18 เติบโต 7% YoY และ QoQ
เราคาดกำไรปกติของ CHG ใน 1Q18 จะอยู่ที่ 163 ล้านบาท เติบโต 7% YoY และ QoQ จาก 1) ใน 4Q17 มีการบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยสูญเพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท 2) มีโรคระบาดตั้งแต่ต้นปี และ 3) สปส. ปรับขึ้นค่าบริการทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการเติบโตของ CHG ต่ำกว่าโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมที่เราดูแล เนื่องจาก 1) ต้นทุนทางการแพทย์สูงขึ้นจากการปรับปรุงคลินิกเป็นโรงพยาบาล 2) ผลประโยชน์จากการปรับค่าบริการของ สปส. ต่ำกว่าที่เราคาด และ 3) ผลกระทบจากภาครัฐเปลี่ยนนโยบายโครงการบัตรทอง เราจึงมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 – 19 ลง 8% และ 9% ตามลำดับ จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งคาดว่า CHG จะมีต้นทุนสูงขึ้นจากการขึ้นโรงพยาบาลแห่งใหม่ช่วงปี 2018 - 19 จึงปรับราคาเหมาะสมลงมาเหลือ 2.00 บาท แต่คงคำแนะนำ ถือ เนื่องจากการเติบโตของกำไรต่ำกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มโรงพยาบาลประกันสังคมที่เราดูแล โดยเราชอบ RJH และ BCH มากกว่า
เราคาดกำไรปกติของ CHG ใน 1Q18 จะอยู่ที่ 163 ล้านบาท เติบโต 7% YoY และ QoQ จาก 1) ใน 4Q17 มีการบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยสูญเพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท 2) มีโรคระบาดตั้งแต่ต้นปี และ 3) สปส. ปรับขึ้นค่าบริการทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการเติบโตของ CHG ต่ำกว่าโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมที่เราดูแล เนื่องจาก 1) ต้นทุนทางการแพทย์สูงขึ้นจากการปรับปรุงคลินิกเป็นโรงพยาบาล 2) ผลประโยชน์จากการปรับค่าบริการของ สปส. ต่ำกว่าที่เราคาด และ 3) ผลกระทบจากภาครัฐเปลี่ยนนโยบายโครงการบัตรทอง เราจึงมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 – 19 ลง 8% และ 9% ตามลำดับ จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งคาดว่า CHG จะมีต้นทุนสูงขึ้นจากการขึ้นโรงพยาบาลแห่งใหม่ช่วงปี 2018 - 19 จึงปรับราคาเหมาะสมลงมาเหลือ 2.00 บาท แต่คงคำแนะนำ ถือ เนื่องจากการเติบโตของกำไรต่ำกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มโรงพยาบาลประกันสังคมที่เราดูแล โดยเราชอบ RJH และ BCH มากกว่า