- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 March 2018 17:48
- Hits: 3724
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> พักเงินใน Defensive Play ระยะสั้น
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัว Sideways อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งเช้าตามที่เราคาด แต่กลับลบแรงขึ้นจนหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,760 จุดก่อนที่ดีดตัวขึ้นแรงและปิดเหนือได้ในช่วงปิดตลาด โดยปัจจัยในประเทศกดดันหลายประเด็นทั้งกลุ่มธนาคาร โรงกลั่น และการเมือง แรงขายส่วนใหญ่มาจากสถาบันในประเทศสูงถึง 4.4 พันลบ. ส่วนต่างชาติขายสุทธิ 1.7 พันลบ. โดยรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเพียงกลุ่มเดียว
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET มีโอกาสเกิด Technical Rebound ระยะสั้นจากการดีดตัวขึ้นหลังจากลงไปทดสอบแนวรับสำคัญ 1,760 จุด ขณะที่บรรยากาศการลงทุนเช้านี้ค่อนข้างผ่อนคลายขึ้น อย่างไรก็ตามเรามองกรอบการบวกระยะนี้จะไม่กว้างนักเนื่องยังต้องติดตามปัจจัยทั้งในเป็นราย Sector และต่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นเจรจาทางการค้า เราจึงมองว่าระยะนี้เน้นพักเงินในหุ้น Domestic Play ที่มีความ Defensive เช่น กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มท่องเที่ยวน่าจะปลอดภัยกว่า
กลยุทธ์ : พักเงินในหุ้น Defensive ที่มีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$801ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$472ล้าน และไทย US$54ล้าน ขณะที่ไหลเข้าอินโดนีเซีย US$0.8ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเนื่องจากความกังวลต่อภาวะการค้าโลกที่ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตามแรงขายอาจผ่อนคลายลงเพราะราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว และการปิดงวดสิ้นไตรมาส
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BCH <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท
แนวโน้มกำไร 1Q18 ยังสดใส จากโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นและมีความต่อเนื่อง ขณะที่ กำไรทั้งปี 2018 คาด +11% Y-Y อยู่ที่ 1 พันลบ. หนุนโดยผู้ป่วยเงินสดที่เร่งตัว การปรับเพิ่มเงินของสปส.เต็มปี และผลขาดทุนจาก WMC ที่ลดลง
ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี +4% ค่อนข้าง laggard เมื่อเทียบกับ BDMS +12% และ BH +10% ขณะที่ Sentiment การลงทุนช่วงนี้เอื้อต่อการพักเงินใน defensive stock เช่นกลุ่ม รพ. จึงคาดว่า BCH จะ Outperform กลุ่มและตลาดได้
กลยุทธ์วันนี้ >> พักเงินใน Defensive Play ระยะสั้น
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัว Sideways อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งเช้าตามที่เราคาด แต่กลับลบแรงขึ้นจนหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,760 จุดก่อนที่ดีดตัวขึ้นแรงและปิดเหนือได้ในช่วงปิดตลาด โดยปัจจัยในประเทศกดดันหลายประเด็นทั้งกลุ่มธนาคาร โรงกลั่น และการเมือง แรงขายส่วนใหญ่มาจากสถาบันในประเทศสูงถึง 4.4 พันลบ. ส่วนต่างชาติขายสุทธิ 1.7 พันลบ. โดยรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเพียงกลุ่มเดียว
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET มีโอกาสเกิด Technical Rebound ระยะสั้นจากการดีดตัวขึ้นหลังจากลงไปทดสอบแนวรับสำคัญ 1,760 จุด ขณะที่บรรยากาศการลงทุนเช้านี้ค่อนข้างผ่อนคลายขึ้น อย่างไรก็ตามเรามองกรอบการบวกระยะนี้จะไม่กว้างนักเนื่องยังต้องติดตามปัจจัยทั้งในเป็นราย Sector และต่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นเจรจาทางการค้า เราจึงมองว่าระยะนี้เน้นพักเงินในหุ้น Domestic Play ที่มีความ Defensive เช่น กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มท่องเที่ยวน่าจะปลอดภัยกว่า
กลยุทธ์ : พักเงินในหุ้น Defensive ที่มีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$801ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$472ล้าน และไทย US$54ล้าน ขณะที่ไหลเข้าอินโดนีเซีย US$0.8ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเนื่องจากความกังวลต่อภาวะการค้าโลกที่ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตามแรงขายอาจผ่อนคลายลงเพราะราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว และการปิดงวดสิ้นไตรมาส
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BCH <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท
แนวโน้มกำไร 1Q18 ยังสดใส จากโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นและมีความต่อเนื่อง ขณะที่ กำไรทั้งปี 2018 คาด +11% Y-Y อยู่ที่ 1 พันลบ. หนุนโดยผู้ป่วยเงินสดที่เร่งตัว การปรับเพิ่มเงินของสปส.เต็มปี และผลขาดทุนจาก WMC ที่ลดลง
ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี +4% ค่อนข้าง laggard เมื่อเทียบกับ BDMS +12% และ BH +10% ขณะที่ Sentiment การลงทุนช่วงนี้เอื้อต่อการพักเงินใน defensive stock เช่นกลุ่ม รพ. จึงคาดว่า BCH จะ Outperform กลุ่มและตลาดได้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) กลุ่มโรงกลั่นถูกกดดันถึงสัปดาห์หน้า กบง.กำลังพิจารณาปรับสูตรราคาน้ำมันใหม่โดยจะให้ลดค่าพรีเมียม จะประชุมอีกครั้ง 5 เม.ย. เราคิดว่าการเอาค่าพรีเมียมออกทั้งหมดไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถ้าต้องลดจนไม่คุ้ม โรงกลั่นมีทางเลือกคือหันไปส่งออกแทน แม้จะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลกระทบจำกัดมากแต่ราคาหุ้นจะถูกกดดันจนกว่าจะมีความชัดเจน บวกกับภาพรวมปีนี้ค่าการกลั่นสู้ปีก่อนไม่ได้ ระยะสั้น หลีกเลี่ยง ยกเว้นรับความเสี่ยงสูงได้ ทยอยซื้อ IRPC ราคาเป้าหมาย 9 บาท (ธุรกิจโรงกลั่นมีสัดส่วนเพียง 20%)
(0) CPALL เรามองได้รับผลกระทบจากกรณีแบงค์ฟรีค่าธรรมเนียม online ค่อนข้างจำกัด เพราะลูกค้าคนละกลุ่ม และ Counter Service ยังให้บริการที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ค่าน้ำค่าไฟ ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 0.7% และมีสัดส่วนกำไรราว 5% แต่ถ้าให้กำไรของ Counter Service หายไปทั้งหมด ราคาเป้าหมายจะลดลง 3 บาท จากปัจจุบันที่ 98 บาท
(0) RSP ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 10% วานนี้ ยังไม่มีประเด็นลบด้านปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มกำไร 1Q18 คาดโต Q-Q อยู่ที่ 65-70 ลบ. แต่จะชะลอ Y-Y จากฐานสูง ส่วนแผนเปิดสาขาในกัมพูชา คาดเปิดเพิ่มเป็น 4 แห่ง จากเดิม 2 แห่ง แนวโน้มกำไรทั้งปีนี้คาดโต 19% Y-Y อยู่ที่ 270 ลบ. ปีหน้าคาดโตอีก 16% Y-Y อยู่ที่ 312 ลบ. คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท (FSS เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ RSP)
(0) CMO ปรับตัวลงกว่า 7% ใน 2 สัปดาห์ หลังจากได้คุยกับผู้บริหาร เรายังไม่พบประเด็นความกังวลด้านผลประกอบการ ซึ่งทั้งปีก่อนและปีนี้ยังเป็นไปตามคาด โดยเฉพาะต้นปีที่มี Backlog แตะระดับ 800-1,000 ลบ. มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบเท่าตัว เนื่องจาก event สามารถกลับมาจัดได้ปกติด้วยขนาดงานที่ใหญ่ขึ้น ขณะที่ กำไร 1Q18 คาดโตสูง 50-60% Y-Y จากฐานที่ต่ำ ราคาตอนนี้คิดเป็น PE เพียง 11 เท่า และ PBV 1 เท่า Downside เชิงพื้นฐานจำกัด แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 3 บาท
(-) กลุ่มโรงกลั่นถูกกดดันถึงสัปดาห์หน้า กบง.กำลังพิจารณาปรับสูตรราคาน้ำมันใหม่โดยจะให้ลดค่าพรีเมียม จะประชุมอีกครั้ง 5 เม.ย. เราคิดว่าการเอาค่าพรีเมียมออกทั้งหมดไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถ้าต้องลดจนไม่คุ้ม โรงกลั่นมีทางเลือกคือหันไปส่งออกแทน แม้จะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลกระทบจำกัดมากแต่ราคาหุ้นจะถูกกดดันจนกว่าจะมีความชัดเจน บวกกับภาพรวมปีนี้ค่าการกลั่นสู้ปีก่อนไม่ได้ ระยะสั้น หลีกเลี่ยง ยกเว้นรับความเสี่ยงสูงได้ ทยอยซื้อ IRPC ราคาเป้าหมาย 9 บาท (ธุรกิจโรงกลั่นมีสัดส่วนเพียง 20%)
(0) CPALL เรามองได้รับผลกระทบจากกรณีแบงค์ฟรีค่าธรรมเนียม online ค่อนข้างจำกัด เพราะลูกค้าคนละกลุ่ม และ Counter Service ยังให้บริการที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ค่าน้ำค่าไฟ ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 0.7% และมีสัดส่วนกำไรราว 5% แต่ถ้าให้กำไรของ Counter Service หายไปทั้งหมด ราคาเป้าหมายจะลดลง 3 บาท จากปัจจุบันที่ 98 บาท
(0) RSP ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 10% วานนี้ ยังไม่มีประเด็นลบด้านปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มกำไร 1Q18 คาดโต Q-Q อยู่ที่ 65-70 ลบ. แต่จะชะลอ Y-Y จากฐานสูง ส่วนแผนเปิดสาขาในกัมพูชา คาดเปิดเพิ่มเป็น 4 แห่ง จากเดิม 2 แห่ง แนวโน้มกำไรทั้งปีนี้คาดโต 19% Y-Y อยู่ที่ 270 ลบ. ปีหน้าคาดโตอีก 16% Y-Y อยู่ที่ 312 ลบ. คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท (FSS เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ RSP)
(0) CMO ปรับตัวลงกว่า 7% ใน 2 สัปดาห์ หลังจากได้คุยกับผู้บริหาร เรายังไม่พบประเด็นความกังวลด้านผลประกอบการ ซึ่งทั้งปีก่อนและปีนี้ยังเป็นไปตามคาด โดยเฉพาะต้นปีที่มี Backlog แตะระดับ 800-1,000 ลบ. มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบเท่าตัว เนื่องจาก event สามารถกลับมาจัดได้ปกติด้วยขนาดงานที่ใหญ่ขึ้น ขณะที่ กำไร 1Q18 คาดโตสูง 50-60% Y-Y จากฐานที่ต่ำ ราคาตอนนี้คิดเป็น PE เพียง 11 เท่า และ PBV 1 เท่า Downside เชิงพื้นฐานจำกัด แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 3 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
31 มี.ค.- จีน: PMI ภาคการผลิต (มี.ค.)
2 เม.ย.- ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.)
- สหรัฐฯ: ISM ภาคการผลิต (มี.ค.)
3 เม.ย.- ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง
5 เม.ย.- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ADP (มี.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐปิดตัวเพิ่มขึ้น หลังการฟื้นตัวในกลุ่มพลังงานและผู้ผลิตชิปส์รวมถึงหุ้นอเมซอน ในขณะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ลดลงต่ำกว่า 2.75% ช่วยให้ตลาดผ่อนคลายลง
(+) ภาพรวมตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังมีข่าวการควบรวมกิจการในกลุ่มรถยนต์ รวมถึงแบงค์และประกันภัย ในขณะที่ตลาดอังกฤษยังคงถูกกดดันจากความไม่ชัดเจนกรณี Brexit
(+) ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวในฝั่งสหรัฐและยุโรป รวมไปถึงตัวเลขหนี้เสียในธนาคารขนาดใหญ่ของจีนที่ลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 201
(0) ค่าเงินบาทแกว่งทรงตัว คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.20-31.30 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 64.95 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.90% หลังกลุ่ม OPEC เสนอแนวคิดที่จะขยายเวลาลดกำลังการผลิตออกไปเป็น 10-20 ปี จากเดิมที่ต่ออายุปีต่อปี
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 2.70 ดอลลาร์/ออนซ์มาอยู่ที่ 1,327.30 ดอลลาร์/ออนซ์ จาการรีบาวด์ของตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
31 มี.ค.- จีน: PMI ภาคการผลิต (มี.ค.)
2 เม.ย.- ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.)
- สหรัฐฯ: ISM ภาคการผลิต (มี.ค.)
3 เม.ย.- ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง
5 เม.ย.- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ADP (มี.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐปิดตัวเพิ่มขึ้น หลังการฟื้นตัวในกลุ่มพลังงานและผู้ผลิตชิปส์รวมถึงหุ้นอเมซอน ในขณะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ลดลงต่ำกว่า 2.75% ช่วยให้ตลาดผ่อนคลายลง
(+) ภาพรวมตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังมีข่าวการควบรวมกิจการในกลุ่มรถยนต์ รวมถึงแบงค์และประกันภัย ในขณะที่ตลาดอังกฤษยังคงถูกกดดันจากความไม่ชัดเจนกรณี Brexit
(+) ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวในฝั่งสหรัฐและยุโรป รวมไปถึงตัวเลขหนี้เสียในธนาคารขนาดใหญ่ของจีนที่ลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 201
(0) ค่าเงินบาทแกว่งทรงตัว คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.20-31.30 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 64.95 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.90% หลังกลุ่ม OPEC เสนอแนวคิดที่จะขยายเวลาลดกำลังการผลิตออกไปเป็น 10-20 ปี จากเดิมที่ต่ออายุปีต่อปี
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 2.70 ดอลลาร์/ออนซ์มาอยู่ที่ 1,327.30 ดอลลาร์/ออนซ์ จาการรีบาวด์ของตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO7295