WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 


“เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศ : ต่างประเทศ – ตัวเลข GDP งวด 4Q60 ประมาณการครั้งสุดท้ายของสหรัฐออกมาดีขึ้นเป็น +2.9% (จากครั้งก่อน +2.5%) แต่ตลาดกังวลกับข่าวว่าคณะทำงานของทรัมป์กำลังพิจารณาจำกัดจีนในการลงทุนภาคเทคโนโลยีสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดัคเตอร์และเทคโนโลยี 5G โดยใช้กฎหมายควบคุมสถานการณ์พิเศษแห่งชาติ ซึ่งกดดันหุ้นเทคโนโลยี และคาดว่าจะเป็นจิตวิทยาทางลบต่อหุ้นเซมิคอนดัคเตอร์ของไทย เช่น HANA ด้วย นอกจากนั้นหุ้นพลังงานก็ร่วงหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มมากกว่าคาดการณ์ รวมทั้งในไทยมีประเด็นกบง.จะประชุมพิจารณาปรับลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นวันที่ 5 เม.ย.นี้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นลบระยะสั้นกับหุ้นโรงกลั่น
  ในประเทศ – กนง.ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP growth ปีนี้เป็น +4.1% และคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% (ด้วยคะแนนเสียง 6 : 1) ซึ่งไม่ได้ Surprise ตลาด ส่วนการยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านแบงค์กิ้งดิจิตอลของ SCB, KBANK, KTB, BBL มองว่าจะกระทบค่ารายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงสั้น แต่ผลกระทบในระยะยาวจำกัดเพราะได้รับการชดเชยจากลูกค้าและปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินงานผ่านเคาเตอร์ สาขา เอทีเอ็ม ที่จะลดลง ทั้งนี้รายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินคิดเป็น 3.5-8.1% ของรายได้จากการดำเนินงาน โดยKBANK มีสัดส่วนสูงสุดที่ 8.1% SCB และ KTB ใกล้เคียงกันที่ 3.5-3.6% ส่วน BBL เท่ากับ 5.0% ราคาหุ้นอ่อนลงเป็นจังหวะซื้อลงทุน KBANK (TP 257 บาท) และ BBL (TP 222 บาท) ส่วน SCB และ KTB แนะนำถือ
  สำหรับข้อมูลติดตาม คือ 1) ดัชนี PCE เดือนก.พ.สหรัฐ, 2) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.สหรัฐ, 3) ผลประชุมกบง. 5 เม.ย.นี้เรื่องลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น
  วิเคราะห์เทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 1810-1820 จุด ต่ำกว่า 1800 จุดลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่เป็น MBK, VGI, THANI, SCC, CPN, ECF, GLOBAL ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ MBK, VGI, THANI, SCC, CPN, ECL, GLOBAL หุ้นที่หลุด List คือ KWG, SOLAR และหุ้นแนะนำไปแล้วให้หาจังหวะ Take profit คือ COM7
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : GDP ประจำ 4Q60 ประมาณการครั้งที่ 3 เติบโตเพิ่มเป็น 2.9% ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยเดือนก.พ.แข็งแกร่ง
  # กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการ GDP งวด 4Q60 ครั้งที่ 3 (สุดท้าย) ว่าขยายตัว 2.9% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระดับ 2.5% และตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 2.6%
  # ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ปรับตัวขึ้น 3.1% สู่ระดับ 107.5 ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.ที่ดัชนีดิ่งลงหนักสุดในรอบกว่า 3 ปี
+ ญี่ปุ่น : รัฐสภาไฟเขียวงบประมาณปีงบ 2561 วงเงิน 97.71 ล้านล้านเยน
  # รัฐสภาของญี่ปุ่นได้อนุมัติงบประมาณปี 2561 วงเงิน 97.71 ล้านล้านเยน หรือ 9.26 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ติดต่อกัน 6 ปี เพื่อที่จะรับมือกับประชากรสูงวัย และภัยคุกคามจากนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
  # งบประมาณของปีงบประมาณใหม่ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 เม.ย.61 ประกอบไปด้วยงบใช้จ่ายด้านประกันสังคม 32.97 ล้านล้านเยน และกลาโหม 5.19 ล้านล้านเยน ซึ่งถือเป็นวงเงินที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ทั้งสองรายการ
• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบ
  # ดัชนี DJIA ปิด -9.29 จุด หรือ -0.04% ดัชนี S&P500 ปิด -7.62 จุด หรือ -0.29% ดัชนี Nasdaq ปิด -59.58 จุด หรือ -0.85% โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงอ่อนลงต่อ จากข่าวว่าคณะทำงานของทรัมป์กำลังพิจารณาจำกัดจีนในการลงทุนภาคเทคโนโลยีสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดัคเตอร์และเทคโนโลยี 5G โดยใช้กฎหมายควบคุมสถานการณ์พิเศษแห่งชาติและหุ้นพลังงานร่วงหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาอ่อนลงราว 1% หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มมากกว่าคาด
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 87 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 64.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 58 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 69.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # EIA ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มี.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล ส่วนสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 5.32 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มี.ค. ซึ่งสูงกว่าที่ API คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาดิ่งแรง 1.3%
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 17.9 ดอลลาร์ หรือ 1.33% ปิดที่ 1330.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่นบจ.
• กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ในการประชุม 28 มี.ค.61 & ปรับเพิ่ม GDP Growth ปีนี้เป็น 4.1%
  # คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% โดย 1 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% ในการประชุมวันที่ 28 มี.ค.61
  # กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ปรับขึ้นดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนกำลังซื้อภาคครัวเรือนกระเตื้องขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป การลงทุนภาคเอกชนดีขึ้น จึงปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 61 ขึ้นเป็น 4.1% เดิม 3.9%) และประกาศของปี 62 เท่ากับ 4.1%
  # อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มจะเพิ่มช้ากว่าที่ประเมินไว้เดิมเล็กน้อย เป็นผลจากราคาอาหารสดที่ลดลงเกินคาด จึงได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้เป็น 1.0% และ 0.7% ตามลำดับ (เดิม 1.1% และ 0.8%)
  # ความเสี่ยงหลัก คือ 1. นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ, 2. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์, 3. ความสามารถชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม, 4. พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) และ 5. การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก
• โรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก : ปี 61-63 จะมีไฟฟ้า COD 10,821 MW...อาจเลื่อนรับซื้อไฟฟ้าขยะชุมชนที่เปิดให้ยื่นถึง 30 มี.ค.นี้ไปก่อน
  # นายวีระพล จิรประดิษฐกุล คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เปิดเผยว่าสิ้นปี 61 จะมีพลังงานทดแทนเข้าระบบเกือบ 1,000 MW ทั้งจากโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับกลุ่มราชการและสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 จำนวน 154 MW ที่กำหนดให้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ(COD) ภายใน 30 ธ.ค. 2561 ซึ่งก่อนหน้านี้มีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบมาแล้ว 100 MW ส่วนที่เหลืออีก 54 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทยอยเข้าปลายปี 2561 นี้ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมหลายโครงการอีก 900 MW ที่จะเข้าปลายปี 61
  # โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐที่จะเอาไปคำนวณในค่า Ft ทำให้ค่า Ft ในเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2561 จะขยับขึ้นเป็น 25.48 สตางค์ต่อหน่วย จากเดือน พ.ค.-ส.ค.2561 ที่ 23.70 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 1.78 สตางค์ต่อหน่วย
  # คาดในอีก 1-2 ปีข้างหน้า(ปี 2562-2563) ภาพรวมของไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่จ่ายไฟเข้าระบบทั้งหมด ทั้งโครงการเก่าและใหม่ คือจากกลุ่มที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้ว จำนวน 1,562 เมกะวัตต์ และที่มีหนังสือตอบรับซื้อไฟฟ้าแล้ว 717 เมกะวัตต์ รวมกับกลุ่มที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว (COD) อีก 7,542 เมกะวัตต์ เท่ากับจะมีไฟฟ้ารวมทั้งหมด 9,821 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 58.5% ของแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ที่กำหนดเป้าหมายให้มีไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในปี 2579 ที่ 16,778 เมกะวัตต์ ซึ่ง กกพ.จะเร่งสรุปว่าหากไฟฟ้าพลังงานทดแทนเข้าระบบถึง 9,821 เมกะวัตต์จะมีผลกระทบต่อค่า Ft รวมเท่าไหร่ต่อไป
  # อาจเลื่อนการรับซื้อไฟฟ้า 78 MW ในโครงการจัดหาไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ที่เปิดให้ยื่นคำร้องและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าระหว่างวันที่ 1 ธ.ค.60-30 มี.ค.61 เพราะติดปัญหาพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
• การมืองไทย : ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับพิจารณาตีความร่างกฎหมายเลือกตั้งส.ว.ตามที่ประธานสนช.เสนอ
  # ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับพิจารณาวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตามที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวม 30 คนยื่นเรื่องผ่านประธาน สนช.เข้ามา ซึ่งต้องดูกันว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน และจะส่งผลกระทบต่อโรดแมพเลือกตั้งที่ตอนนี้กำหนดไว้ในเดือนก.พ.62 หรือไม่
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO7236

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!