WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ACESCBG แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 80.75 บ.
Stock : CBG
Price : 63.0
Target Price : 80.75
Rating : BUY
ทำใหญ่ ไม่ทำเล็ก
World Class Brand & World Class Product
          จากงาน Opp. Day วานนี้ เราสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ 1) ผู้บริหารยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาวของบริษัท โดยยืนยันว่าการรุกตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปยังประเทศอังกฤษเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและดีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนด้านการตลาดด้วย Football Marketing ทั้งการเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสรฟุลบอลเชลซี และ Carabao Cup (EFL) ซึ่งกลยุทธ์นี้นอกจากจะช่วยให้ CBG นำสินค้าไปวางจำหน่ายมากกว่า 30 Chain Store ใหญ่ๆในอังกฤษได้แล้ว ยังช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศอื่นๆ เช่น อาเซอร์ไบจาน, กานา, ฝรั่งเศส, เปรู ฯลฯ เริ่มเข้ามาติดต่อสั่งซื้อสินค้า ตอกย้ำโอกาสทางธุรกิจที่จะผลักดันเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวเป็นสินค้าระดับโลก 2) อัพเดทแผนรุกตลาดจีน (CBG เป็นเพียงผู้ขายสินค้าเท่านั้น โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่นำโดยคุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ เป็นผู้ลงทุนเอง) ปัจจุบันผู้ลงทุนอยู่ระหว่างการเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการขายจากเดิมใช้ Above The Line จะปรับเป็น Below The Line โดยเน้นทั้งการตลาดและโฆษณาตรง Point of Sales ให้มากขึ้น ทั้งนี้ผู้ลงทุนจะยังคงเน้นกลยุทธ์ "ทำใหญ่ ไม่ทำเล็ก" โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่จะวางจำหน่ายสินค้ากระจายไปทั่วประเทศจีน อีกทั้งช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา CBG เริ่มทยอยส่งสินค้าไปยังประเทศจีนแล้ว หลังจากที่ช่วง 4Q60 CBG ไม่ได้ส่งสินค้าไปยังประเทศจีนเลย 3) อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น จากแผนผลิตเองในบางสินค้า Own Brand เพื่อลดต้นทุน OEM และปัจจัยบวกจากต้นทุนราคาน้ำตาลโลกที่ปรับตัวลงราว 16.4%YTD  และ 4) CBG มีแผนลดต้นทุนทางการเงินด้วยการ Refinance โดยออกหุ้นกู้ 3,000 ล้านบาท ที่เรทติ้ง A- หวังลดดอกเบี้ยราว 50-100 Basis Point หรือคิดเป็นมูลค่า 15-30 ล้านบาท
ปี 61 คาดกำไรจะพลิกกลับมาโตสดใสจากยอดขายทั้งในและต่างประเทศ
          เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ CBG ด้วยแรงหนุนจาก 1) แนวโน้มสดใสของยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศจีนและอังกฤษ 2) การเพิ่มจุดกระจายสินค้า โดยปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้าเป็น 31 ศูนย์ (334 Cash Van) ครอบคลุมพื้นที่ร้านค้าย่อย 220,000 ร้าน  และ 3) การเติบโตของโมเดลธุรกิจใหม่ จากการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวันผ่านช่องทาง Cash Van โดยมีทั้งสินค้าของบริษัทและผู้ผลิตรายอื่น ดังนั้นเราจึงคงประมาณการเดิม โดยคาดปี 2561 CBG จะมีกำไรสุทธิ 2,009 ล้านบาท เติบโต 61.3%YoY
มี Upside 28.2% จากมูลค่าพื้นฐานปี 61 ที่ 80.75 จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"
          เพื่อสะท้อนศักยภาพทำกำไรที่ดีในระยะยาว อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 28.2% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 80.75 บาท (วิธี DCF) และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่ 2.2% ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"

SEAFCO แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 10.00 บ.
Stock : SEAFCO
Price : 8.95
Target Price : 10.00
Rating : BUY
ปี 61 ทยอยรับรู้งานจากภาครัฐกว่า 80%
มี Backlog ในมือ 2.5 พัน ลบ. และได้งาน One Bangkok เพิ่มอีก 1.2 พัน ลบ.
          จากงาน Opp.Day วานนี้ เราสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ 1) ผู้บริหารอัพเดตความคืบหน้าแต่ละโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดรับรู้ได้ในช่วง 1Q61 ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีส้ม, KSS Mixed-Used Development, อาคารสำนักงานทิปโก้ (ส่วนต่อเติม), อาคารจอดรถโรงเรียนนานาชาติShrewburry เป็นต้น 2) ผู้บริหารแจ้ง SEAFCO ได้งานโครงการ One Bangkok ใน 2 เฟสแรก (จากที่มีทั้งหมด 4 เฟส) มูลค่าราว 1.2 พันล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วง 2Q61 ส่วนเฟสที่ 3 เป็นของบริษัทคู่แข่ง และเฟสที่ 4 ยังอยู่ระหว่างการเสนอราคา และ 3) ณ 15 ก.พ.61 SEAFCO มี Backlog ในมือ 2,557 ล้านบาท (เป็นงานเฉพาะค่าแรง 87.3%) โดยส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐกว่า 80% ทั้งงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม, ชมพู ซึ่งยังไม่รวมงาน One Bangkok และงาน Super Tower (ซึ่งอยู่ระหว่างประเมินผลการทดสอบเสาเข็ม โดยยังไม่เปิดประมูล) ขณะที่มีงานในตลาดที่อยู่ระหว่างประมูลอีก 95 โครงการ (รวมเมกะโปรเจค) มูลค่ารวม 10,221 ล้านบาท
ช่วง 1Q61 คาดกำไรโต QoQ จากงานรถไฟฟ้า และงานตึกสูง หนุนทั้งปี 61 โต 59.3%YoY
          ช่วง 1Q61 คาด SEAFCO จะมีกำไรปกติโต QoQ ด้วยแรงหนุนจากการรับรู้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม รวมถึงงานก่อสร้างอาคารสูงในกทม. ซึ่งคาดหนุนให้ปี 2561 SEAFCO มีกำไรปกติโต 59.3%YoY ที่ระดับ 270 ล้านบาท จาก 1) รายได้ก่อสร้างคาดโต 37%YoY สู่ระดับ 2,489 ล้านบาท จากการทยอยรับรู้ Backlog ในมือที่คาดราว 3,700 ล้านบาท (รวม Backlog จากงาน One Bangkok) ซึ่งคาด Secured revenue สูงถึง 95% ของประมาณการรายได้ในปี 2561 โดยส่วนใหญ่มาจากงานภาครัฐกว่า 80% 2) อัตรากำไรขั้นต้นคาดดีขึ้นที่ 20.0% จาก 18.5% ในปี 2560 หลังมีสัดส่วนงานเฉพาะค่าแรง (มาร์จิ้นสูง) เพิ่มขึ้นที่ระดับ 87.3% ของ Backlog และ 3) SG&A/Sales คาดลดเหลือ 6.7% จาก 8.2% ในปี 2560 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาด
คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่มูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 10 บาท
          เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ SEAFCO ด้วย Backlog ในมือที่คาดเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.7 พันล้านบาท หลังได้งาน One Bangkok บวกกับมีโอกาสได้งานใหม่จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งล่าสุดบริษัทมีมติจ่ายปันผลจากผลกำไรช่วง 2H60 หุ้นละ 0.10 บาท แบ่งเป็นเงินสดหุ้นละ 0.05 บาท และหุ้นปันผลในสัดส่วน 10:1 คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.05 บาท (พาร์ 0.5 บาท) (XD 9 พ.ค.และจ่ายปันผล 25 พ.ค.นี้) รวมทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 11.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 10 บาท (อิง PER ที่ 22.7x) เราจึงคงแนะนำ "ซื้อ" โดยหลังจ่ายหุ้นปันผลมูลค่าพื้นฐานจะปรับลดเป็น 9.10 บาทตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น

บล.เออีซี : Action Strategy

MARKET  OUTLOOK
          รีบาวด์ในกรอบ Sideway! .. ดัชนี SET วานนี้เปิดตลาดบวกกว่า 3 จุด และแกว่งตัวออกข้างในลักษณะ Sideway Up  ในกรอบ 1,793-1,801 จุด ก่อนปิดสิ้นวันที่ระดับดัชนี 1,801.10 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.89 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายราว 4.2 หมื่นล้านบาท ภาพรวมตลาดเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น  โดยในกราฟ 240 นาที ดัชนี SET เริ่มเกิดสัญญาณเชิงบวกทางเทคนิค ทั้งจากเครื่องมือ Modified Stochastic ที่ให้สัญญาณซื้อระยะสั้น (%K>%D) , MACD เริ่มโค้งตัวขึ้น แกว่งตัวบริเวณค่าศูนย์  ประกอบกับดัชนีเริ่มยกจุดต่ำสูงขึ้น ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ SET ในวันนี้ คาดหวังการรีบาวด์ขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,820 จุด สำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำซื้อ ด้วยกลยุทธ์ ซื้อแนวรับ-ขายแนวต้าน โดยมีแนวรับรอบนี้บริเวณ 1,790-1,795 จุด อย่างไรก็ดี Stop Loss หาก SET วกกลับ เทรดต่ำกว่า 1,785 จุด สำหรับนักลงทุนระยะกลางยังคงแนะนำถือเงินสดต่อ รอสัญญาณแนวโน้มขาขึ้นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง (หากดัชนี SET กลับทะลุ 1,820 จุด)
STRATEGY
          นักลงทุนระยะสั้น   : นักเก็งกำไรแนะนำซื้อ โดยมีแนวรับ 1,790-1,795 จุด แนวต้าน 1,820 จุด Cut Loss หากหลุด 1,785 จุด
          นักลงทุนระยะกลาง : แนะนำถือเงินสดต่อ รอสัญญาณความชัดเจนของภาวะ Bullish
SECTOR  FOCUS
          SECTOR FOCUS   รีบาวด์ต่อหลังเบรกกรอบสามเหลี่ยม!  Sector Focus วันนี้เลือกกลุ่มพลังงาน (ENERG) เป็นกลุ่มที่จะวิ่งขึ้นต่อ  โดยกราฟรายวัน ดัชนีเคลื่อนตัวเบรกกรอบสามเหลี่ยมขึ้นมาวันแรก ประกอบกับทางเทคนิคเกิดสัญญาณเชิงบวกทั้ง จาก Modified Stochastic ที่ให้สัญญาณซื้อระยะสั้น (%K>%D) และ MACD เริ่มโค้งตัวขึ้นบริเวณเส้นศูนย์อีกครั้ง  สนับสนุนมุมมองที่ว่ากลุ่มพลังงาน จะยืนแดนบวกต่อไปวันนี้ โดยมี TOP PICK ดังนี้ (PTT : แนวรับ 550 บาท/แนวต้าน 588 บาท , PTTEP : แนวรับ 115.50 บาท/แนวต้าน 123.50 บาท)
STOCK  HUNTER
          Point of view  สร้างฐานแน่น ก่อนรีบาวด์! Stock Hunter วันนี้เลือก CBG ราคาขยับดีดตัวขึ้นจากแนวรับ โดยในกราฟรายวัน เครื่องมือทางเทคนิคส่งสัญญาณเชิงบวก เกิดสัญญาณซื้อระยะสั้นจาก Modified Stochastic .(%K>%D) และ RSI ที่เริ่มดีดตัวขึ้นต่อ หลังจากผ่านภาวะ Oversold กลับเข้าสู่ Neutral Zone (RSI 50,?10)  ประกอบกับการเคลื่อนไหวของราคามีลักษณะสร้างฐานล่างในระนาบเดียวกัน หากไม่หลุดแนวรับเส้นล่าง และสามารทะลุแนวต้านเส้นกลางได้ มองว่า CBG จะฟอร์มตัวไปต่อด้วยรูปแบบราคา Triple Bottom  โดยมีแนวต้านแรก 67.50 บ. และหากทะลุแนวต้านแรกมีเป้าหมายถัดไป  75.25 บ. ทั้งนี้ให้แนวรับ 61.50 บาท และ Stop Loss หากหลุด 59.50 บาท 
          อิศรา เลิศสุดคนึง (เลขทะเบียน 033432) [email protected]
          ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
          จิรภัทร  โบสุวรรณ   (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
          ตฤณ สิทธิสวัสดิ์    (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค

บล.เออีซี : Derivatives Signals
SET50 Index Futures
มุมมองทางทฤษฎี: วานนี้ต่างชาติขายทั้ง 2 ตลาด!!!
          BASIS (S50H18-SET50): เมื่อวานนี้ S50H18 ปิดบวกด้วย % มากกว่า Spot ส่งผลให้ Basis เพิ่มขึ้นจากวันทำการก่อนหน้า 4.20 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ +1.34 จุด สูงกว่า Theory Basis ที่ +0.10 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกในระยะสั้น (<1 สัปดาห์) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index โดย S50H18 จะซื้อขายวันสุดท้ายวันที่ 29 มี.ค. นี้ ซึ่งจะทำให้ค่า Basis ดังกล่าวเข้าใกล้ค่าศูนย์ ส่วน Calendar Spread (S50M18-S50H18) เพิ่มขึ้นจากวันทำการก่อนหน้า 0.6 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -4.5 จุด มากกว่า Theory Spread ที่ -7.08 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกในระยะกลาง (3 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index
          PUT/CALL Ratio: ปัจจุบันอัตราส่วนการเทรด SET50 Index Option ฝั่ง PUT เทียบกับฝั่ง CALL พบว่าปริมาณซื้อขาย (Volume) อยู่ที่ 1.64x เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 0.41x ขณะที่ฝั่งสถานะคงค้าง (Open Interest) ปัจจุบันอยู่ที่ 1.14x เท่ากับวันก่อนหน้า ซึ่งขณะนี้ PUT/CALL Ratio ทั้งฝั่ง Volume และ OI อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แสดงให้เห็นถึงการกลัวความเสี่ยงพักฐานขาขึ้นของดัชนี (ดูรายละเอียดจากหน้า 2)
          Fund Flow Analysis: เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Net Short 1,918 สัญญา ใน Index Futures พร้อมกับขายสุทธิในตลาดหุ้น 2,190 ล้านบาท โดยตั้งแต่เริ่มต้นปี 2561 นักลงทุนต่างชาติมียอดคงค้างเป็นสถานะขายสุทธิในตลาดทุน (หุ้น + Index Futures) เพิ่มเป็น 57,033 ล้านบาท
Technical Analysis
มุมมองด้านเทคนิค: คงคาดแกว่งในกรอบ Sideway!!!
          เมื่อวานนี้ S50M18 เปิดแล้วแกว่งขึ้น จนปิด +10.8 จุด โดยในกราฟ 120 นาที S50M18 ยังคงมีแนวโน้มแกว่งในกรอบ Sideway 1,160-1,190 จุด ตามกรอบการเคลื่อนไหวเดิม ซึ่งนอกจากราคาปัจจุบันจะขึ้นกลับมาเทรดบริเวณค่าเฉลี่ยในกรอบ Bollinger Band แล้ว Indicator ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้บ่งชี้ถึงเทรนด์และโมเมนตัมขาขึ้นหรือขาลงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น RSI ที่แกว่งขึ้นลงในกรอบ Neutral Zone 40%-60% เช่นเดียวกับ MACD และ Signal แกว่งตรงค่าศูนย์
กลยุทธ์การลงทุน
          Outright Trading: Trading ในกรอบ Sideway ด้วยกลยุทธ์ Trading Short เมื่อ S50M18 ขึ้นเข้าใกล้แนวต้าน 1,190 จุด และกลับมา Trading Long เมื่อ S50M18 ย่อเข้าใกล้แนวรับ 1,160 จุด พร้อมกับตั้ง Stop Loss หากทะลุกรอบมากกว่า 5 จุด
          นักวิเคราะห์: อิศรา เลิศสุดคนึง (ID:033432)

บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
          Trading Idea: CBG
Connect the World- (P.2)
          ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกหลังนักลงทุนคลายความกังวลในประเด็นสงครามการค้า
Market Outlook
          วันนี้คาด SET Index มี Momentum ให้ปรับขึ้นต่อได้ โดยมีกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,790-1,815 จุด หนุนด้วย Sentiment บวกจากตลาดต่างประเทศที่ดีขึ้น บวกกับคาดหวังแรงซื้อทำปิด Window Dressing จะยังช่วยประคองดัชนีสัปดาห์นี้
Market Factors
          (+) ตลาดหุ้น DJIA ปิด +2.8%DoD จากนักลงทุนผ่อนคลายต่อปัญหาสงครามการค้าโลก หลังจีนประกาศพร้อมเจรจาหาทางออกด้านการค้าร่วมกับสหรัฐฯ 
          (-) ตลาดน้ำมัน WTI ปิด -0.5%DoD กังวลต่อกำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังจำนวนแท่นขุดเจาะสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 804 แท่น
          (+/-) สัปดาห์นี้ติดตามข้อมูล ศก.ที่สำคัญของสหรัฐ อาทิ ดัชนีราคาบ้าน ม.ค., ดัชนีการผลิต มี.ค.รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. ของสหรัฐฯ และอียู
Investment Strategy
          แม้ช่วงสั้นภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกยังถูกกดดันจากความกังวลการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่จะมีต่อ ศก. ทั่วโลกแต่มองปัจจัยพื้นฐานของศก.ไทยยังแข็งแกร่ง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "Selective Buy โดยเน้นซื้อแนวรับ" ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้
          1) หุ้นที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายในการทำปิด Window Dressing : PTT, PTTGC, PTTEP, CPN, ROBINS, CENTEL, MINT, ERW
          2) หุ้นกลุ่มการเงินซึ่งคาดได้อานิสงส์จาก กนง. ยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% : SAWAD, S11, TK, ASK
          3) หุ้นได้ประโยชน์โครงการลงทุนภาครัฐและ EEC : CK, SEAFCO, SYNTEC, WHA, ROJNA
          4) หุ้นที่จ่ายปันผลสูงซึ่งเดือน เม.ย.-พ.ค. นี้ จะขึ้น XD โดยให้ Div. Yield เกิน 3% : KKP, AIT, SC, AP, LH
Market Talk and News
          CBG ([email protected]) : จากงาน  Opp.Day วานนี้ เราคงคาดปี 61 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิโตเด่น  61.3%YoY จากโมเดลธุรกิจ Cash Van และการรุกต่างประเทศ ทั้ง CLMV จีน และอังกฤษ + มี Upside 28.2% และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่  2.2% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"
          SEAFCO (BUY@10) : ช่วง 1Q61 คาดกำไรโต QoQ หลังเริ่มรับรู้งานรถไฟฟ้าสายสีส้มและงานก่อสร้างตึกสูงหนุนทั้งปี 61 กำไรปกติโต 59.3%YoY จาก Backlog ที่คาดราว 3.7 พันลบ. ซึ่งคาด Secured Revenue ปีนี้ 95% + มี Upside 11.7% และมีเงินปันผลจ่ายหุ้นละ0.10 บาท (XD 9 พ.ค.) จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"
Market Talk and News
          RJH (BUY:TP@31): ปี 61 คาดกำไรโต 12.2%YoY จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ทั้งเงินสดและประกันสังคมอีกทั้งคาดจะรับรู้ผลดำเนินงานของ บ.ย่อย RRH หลังทำแผนซื้อหุ้นส่วนที่เหลือแล้วเสร็จในเดือน เม.ย. นี้ +มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังมี Upside 24%พร้อมมีปันผลจ่าย 0.35 บาท (XD 7 พ.ค.) คิดเป็น Div. Yield 1.4% จึงแนะนำ "ซื้อลงทุน"
          RS (BUY:TP@34): ปี 61 คาดกำไรโตเด่น 185.7%YoY หนุนด้วยยอดขายธุรกิจสุขภาพและความงามที่คาดยังโตดี จากแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ 30 SKU และเพิ่มจำนวน Call Center รองรับการทำ Out-Bound Call มากขึ้น บวกกับธุรกิจทีวีที่คาดฟื้นตัวตามเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัว พร้อมเตรียมปรับเพิ่มค่าโฆษณารายนาทีของช่อง 8 ให้สอดคล้องกับ Rating ที่สูงขึ้น + Upside 17.2% จึงคงแนะนำ "ซื้อ"
Quantitative Screening
          หุ้น High Alpha ซึ่งคาด Outperform ตลาดวันนี้เลือก BJC, CBG
AECS - Fundamental and Strategic Team
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล (ID. 027445)  [email protected]
อิศรา เลิศสุดคนึง (ID.033432)     [email protected]
ตฤณ  สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364)     [email protected]
จิรภัทร  โบสุวรรณ (ID. 040051)   [email protected]
ธีรยุทธ  ฤทธิเผ่าพันธุ์              ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์           Data Support / Secretary
OO7096

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!