- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 21 March 2018 17:39
- Hits: 2602
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“รอผลประชุมเฟด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศ : ตลาดหุ้นไทยปิดทรงตัวที่ 1799.84 จุดเมื่อวานนี้ โดยมีแรงขายหุ้นแบงค์และหุ้นกลาง-เล็ก แต่หุ้น PTT ที่บวก 1.12% (คิดเป็น SET 1.74 จุด) ช่วยค้ำยันตลาดเอาไว้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3.2 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 3.0 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก สำหรับปัจจัยต่างประเทศ มีประเด็นเรื่อง Facebook ถูกคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) สอบสวนกรณีการล้วงข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้บริการ และนายคอลลินส์ สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ ได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งถึงนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Facebook เพื่อให้เขาเข้าชี้แจงต่อทางการอังกฤษ กรณีให้แคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์การเมือง สามารถเข้าถึงข้อมูลโปรไฟล์ของผู้ใช้บริการ Facebook จำนวน 50 ล้านคนโดยไม่ได้รับอนุญาต และเอื้อประโยชน์ต่อทีมหาเสียงของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 59 ซึ่งเรื่องนี้ไม่เพียงแต่กระทบหุ้น Facebook แต่กระทบการเมืองสหรัฐด้วย ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดว่าแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นพลังงาน & Big Cap จะช่วยพยุงตลาด หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่า 2% จากข่าวความตึงเครียดระหว่างซาอุฯกับอิหร่านในประเด็นนิวเคลียร์ และมีข่าวว่าเวเนซูเอลาจะลดการผลิตลงอีกหลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และมีความหวังว่านักลงทุนสถาบันจะใช้หุ้น Big Cap ทำราคาปิดสิ้นไตรมาส 1/61 (Window Dressing) ในเชิงกลยุทธ์หุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี เป็น PTTGC (TP 113 บาท), PTT (TP 570 บาท), IVL (TP 65 บาท) ส่วน BCP เราแนะนำถือ โดยบริษัทจะมีปิดซ่อมบำรุงใหญ่ 45 วันใน 2Q61 ซึ่งอาจกระทบรายได้และกำไร แต่มีข้อดีคือ จ่ายปันผลสูง ให้ Yield ประมาณ 5% ต่อปี
ปัจจัยจัยตา – 1. ถ้อยแถลงเฟดหลังการประชุม 20-21 มี.ค.นี้ เพื่อจับสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย, 2. งบประมาณชั่วคราวสหรัฐจะสิ้นสุดในวันที่ 23 มี.ค.นี้แล้ว ซึ่งจะต้องติดตามต่อว่าสภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวใหม่และทำให้ไม่ต้องชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบางแห่งได้ทันหรือไม่ (คราวก่อนมีชัตดาวน์ไป 6 ชั่วโมง)
วิเคราะห์เทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 1805-1810, (1820) จุด ต่ำกว่า 1795 จุดลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่เป็น SCC, GPSC, MINT, VGI, CPALL, KWG, SOLAR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ AJ, KTB, MAJOR, VNT, MBK, PTTEP, TWPC, MEGA หุ้นที่หลุด List คือ TOP, GFPT และหุ้นที่แนะนำไปแล้วให้หาจังหวะ Take profit คือ AEONTS, TOA, TRUE, TPAC
ปัจจัยต่างประเทศ
• ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลในตะกร้าเงินยืนระดับ 90.38 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 90.066
# CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐพบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 94.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 20-21 มี.ค.
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : หุ้นพลังงานหนุนตลาดบวก
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 24,727.27 จุด เพิ่มขึ้น 116.36 จุด หรือ +0.47% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,716.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.02 จุด หรือ +0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,364.30 จุด เพิ่มขึ้น 20.06 จุด หรือ +0.27% โดยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ดีดตัวขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 2%
# แต่...หุ้นเฟซบุ๊กร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 (ร่วงราว 11% ใน 2 วันทำการ) เพราะมีรายงานว่าคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) กำลังสอบสวนกรณีการล้วงข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้บริการ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทางบริษัททำไว้กับทาง FTC ในปี 2554 หรือไม่ ทางด้านนายดาเมียน คอลลินส์ สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ ได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งถึงนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก เพื่อให้เขาเข้าชี้แจงต่อทางการอังกฤษ กรณีที่เฟซบุ๊กมีความเกี่ยวข้องกับแคมบริดจ์ อนาลิติกา โดยมีข่าวว่าแคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์การเมือง สามารถเข้าถึงข้อมูลโปรไฟล์ของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กจำนวน 50 ล้านคนโดยไม่ได้รับอนุญาต และเอื้อประโยชน์ต่อทีมหาเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาปรับขึ้นกว่า 2%
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 1.34 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 63.40 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.37 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 67.42 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นกว่า 2% อันเนื่องมาจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านและซาอุดิอารเบียซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกกลุ่ม โอเปก และมีคาดการณ์ว่าเวเนซุเอลาอาจปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปอีกเพราะกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ หลังลดการผลิตลงครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ปี 2548 สู่ระดับต่ำกว่า 2 ล้านบาร์เรล/วันไปแล้ว
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาร่วงก่อนประชุมเฟดแต่ยังไม่หลุด 1300 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 5.9 ดอลลาร์ หรือ -0.45% ปิดที่ 1,311.9 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่นบจ.
+ กลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี : ได้อานิสงค์ทางบวกจากราคาน้ำมันปรับขึ้น
# ราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ปรับขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ เพราะสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน ซึ่เงป็นประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปกทั้งคู่ รวมทั้งมีข่าวว่าเวเนซูเอลาอาจลดการผลิตน้ำมันดิบลงอีก เนื่องจากมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความกังวลเรื่องอุปทานล้นจากการผลิตเพิ่มของสหรัฐผ่อนคลายลงในช่วงสั้น
# สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่เป็น Top picks เชิงกลยุทธ์ คือ PTTGC, PTT และ IVL โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้ PTTGC ได้ประโยชน์จากสเปรดของธุรกิจโอเลฟินส์ที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่จะดีกว่าที่เราประมาณการไว้หลังจากจีน Ban การใช้พลาสติกรีไซเคิล และจะทำงบการเงินรวมกับ 6 บริษัทที่รับโอนมาจาก PTT เต็มปี 61 ราคาเป้าหมาย Consensus 113 บาท
PTT มีปัจจัยหนุนคือ 1. ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหนุนกำไรบริษัทย่อยคือ PTTEP และเป็นบวกกับผลประกอบการบริษัทร่วมในธุรกิจโรงกลั่น, 2. ได้ส่วนแบ่งกำไรจาก IRPC เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 48.05% (โดยซื้อ Big Lot จากธ.ออมสินเข้ามาอีก 9.54%) , 3. มีปัจจัยจิตวิทยาทางบวกจากการแตกพาร์ ที่ช่วยให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะซื้อขายพาร์ 1 บาทได้ในต้นเดือนพ.ค.61 (รอประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติในวันที่ 12 เม.ย.ก่อน) และ 4. มีปัจจัยกระตุ้นจากการนำ PTTOR (ธุรกิจค้าปลีก) เข้าจดทะเบียนใน SET ซึ่งมีแผนโอนสินทรัพย์เข้า PTTOR ในปี 61 ยื่นไฟลิ่ง IPO ในปลายปี 61 และกระจายหุ้นได้ราวกลางปี 62 ราคาเป้าหมายใน Consensus 570 บาท
IVL ที่คาดว่ากำไรปี 61 จะเติบโตแข็งแกร่ง (+18%) เพราะปริมาณขายและกำไรเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ, ธุรกิจ PET มีมาร์จิ้นดีหลังจีน Ban การใช้พลาสติกที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้อุปสงค์ PET สูงขึ้น รวมทั้ง MEG ก็มีอัตรากำไรที่ดีขึ้นด้วย, สัดส่วนสินค้า HVA เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ, ได้ลดภาษีรายได้ฯ ในสหรัฐ ซึ่งกำไรที่เป็นเงินสด (EBITDA) ของ IVL อยู่ในสหรัฐราว 40% ของทั้งหมด ราคาเป้าหมาย DBSV 65 บาท และใน Consensus 67.40 บาท BCP (ราคาปิด 38.75 บาท) : มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน 45 วัน ช่วง 30 เม.ย.-13 มิ.ย.61
# BCP แจ้งว่าบริษัทมีแผนหยุดการเดินเครื่องหน่วยกลั่นน้ำมันดิบและหน่วยประกอบอื่นๆ เพื่อตรวจซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) มีระยะเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.-13 มิ.ย.61
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV : แม้ว่าบริษัทจะมีมาตรการรองรับแผนหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่นี้ด้วยการเก็บสำรองนํ้ามันสำเร็จรูปล่วงหน้าแล้ว แต่เรามองว่าอาจจะไม่ได้ปริมาณครบตามภาวะปกติ รวมทั้งจะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องบการเงินช่วงไตรมาส 2/61 และทำให้กำไรของปีนี้มีโอกาสอ่อนลง YoY ในเชิงกลยุทธ์มีหุ้น BCP ต้นทุนต่ำแนะนำถือ เพื่อรับปันผลสูง ณ ราคาปิด 38.75 บาทให้ Yield ประมาณ 5% ต่อปี
+ Window dressing ช่วงปลายเดือนมี.ค.เพื่อปิดงบฯ ไตรมาส 1/61
# นักลงทุนมีความหวังว่าจะมีการทำราคาปิดสิ้นไตรมาส 1/61 (Window dressing) จากนักลงทุนสถาบันในช่วงสัปดาห์สุดท้าย โดยหุ้นที่อยู่ในข่ายที่จะทำราคาปิดมักเป็นหุ้นขนาดใหญ่ (Big cap) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO6796