- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 05 March 2018 16:44
- Hits: 1931
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ SET ปรับฐาน เน้นหุ้นเสี่ยงต่ำ”
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ผันผวนและมีความเสี่ยงขาลง คาดกรอบ 1790-1830 จุด ..... ปัจจัยเสี่ยงของตลาด คือ นักลงทุนจะเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน หลังทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และมีความไม่แน่นอนในเรื่องนโยบายการค้าของสหรัฐฯมากขึ้น (เป็นลบต่อการค้าระหว่างประเทศ) ขณะที่การรายงานผลประกอบการ 4Q-17 ที่สิ้นสุดลงและหุ้นขนาดใหญ่จะทยอยขึ้น “XD” สัปดาห์นี้ PTT, PTTGC, BH จะลดการเก็งกำไรในตลาดลง( หากหุ้นตัวนี้นไม่ได้มีปัจจัยบวกของตัวเอง) ….. ตัวแปรที่ควรติดตาม จะเป็น ความคืบหน้าเรื่องภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียมของสหรัฐฯ การประชุม ECB (8) และตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ(9)
กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ : ภาพตลาดดูเป็นลบและดัชนีฯมีกรอบบนที่จำกัด นักลงทุนควรพิจารณาในฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามากและขาดปัจจัยบวกเฉพาะตัว หรือหุ้นที่มีค่า P/E สูงๆ ..... กลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ เราแนะว่า ควรทำทั้งเพิ่มการถือเงินสดให้มากขึ้น (เพื่อรอซื้อหุ้นรอบใหม่) และโยกหุ้นจากกลุ่มเสี่ยง (ถูกขาย) มาเน้นที่หุ้นที่ Valuation ดีๆ หรือหุ้น Defensive ในพอร์ตให้มากขึ้น …… สัปดาห์นี้ เราเน้นหุ้น ที่ Valuation ดีๆ (กำไรดี ราคามีส่วนต่างจากราคาที่เหมาะสม ) คือ PTTGC BJC MTLS BEAUTY และ AH ส่วนหุ้นที่มีความเป็น Defensive คือ ทนความผันผวนของตลาดได้ เราเลือก CPALL และ BGRIM
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: SAWAD, TRUE, HARN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้นมีประเด็น
(+) JKN ปรับราคาซีรีส์อินเดียเป็นตอนละล้าน
JKN ปรับราคาซีรีส์อินเดียตอนละ 1 ล้าน หลังเรตติ้งพุ่งไม่ต่ำกว่า 2-3 คาดว่าซีรีส์อินเดียจะเข้ามาช่วยผลประกอบการทีวีดิจิตอล ซึ่งประเมินว่าซีรีส์อินเดียน่าจะได้รับความนิยมต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10ปี ในปี2018 ผู้บริหารคาดว่า รายได้และกำไรจะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้น 20-25% เนื่องจากมีลิขสิทธิ์ contentห กว่า 3,500 คอนเทนต์ และยอดรอรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าราวกว่า 20 ราย สำหรับ CNBC คาดว่าเบื้องต้นจะใช้งบลงทุน 1254 ล้านบาท มีสัญญาระยะเวลา 10 ปี 2018- 2027
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับการปรับราคาซีรีส์อินเดียของ JKN เรามองว่าหุ้นที่ได้รับประโยชน์ในครั้งนี้ คือ JKN และผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลอย่าง RS และ BEC เนื่องจากได้ซื้อและมีสต๊อกซีรีส์อินเดียในราคาเก่าซึ่งต่ำกว่าปัจจุบันถึง 50% และมีเพียงพอที่จะฉายได้ถึง 2-3ปี ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาของ JKN ในช่วง 2-3 ปีนี้ เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” RS ที่ราคาเป้าหมาย 35 บาท
(0) JMT: คาดรายได้ค่าติดตามทวงหนี้ลดลงจากข้อบังคับใหม่
สมาคมเช่าซื้อหนุนธปท.คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน เตือนสมาชิกรอสัญญามาตรฐานใหม่ ก่อนมีผลบังคับ 1 ก.ค. ด้านบริษัททวงหนี้เกือบ 500 แห่ง โอดได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าธรรมเนียม 300-400% ลุ้นบอร์ดกำกับทบทวนอัตราค่าฟีตามความเสี่ยง-ประเภทสินเชื่อ ก่อนประกาศใช้กลางปีนี้ (Source – ฐานเศรษฐกิจม 04-07.03.2018)
ความเห็น: จากข้อบังคับใหม่ต่อสัญญาเช่าซื้อที่ออกในช่วงที่ผ่านมา นอกจากจะส่งผลต่อผู้บริการสินเชื่อ เรามองว่าจะส่งผลต่อผู้รับจ้างติดตามหนี้ โดยทางกลุ่มบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจทวงถามหนี้คาดจะได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนอัตราการติดตามหนี้ จากเดิมที่ 100 บาท/งวด สำหรับลูกหนี้ธุรกิจบัตรเครดิต เพราะวงเงินสินเชื่อต่ำไม่เกิน 3 หมื่นบาท แต่เกณฑ์ใหม่ได้ปรับมาใช้ในทุกธุรกิจ สำหรับหุ้นที่ให้บริการติดตามหนี้อย่าง JMT นั้นเรามองว่าจะมีรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ลดลง อย่างไรก็ตามเรามองว่าบริษัทจะมีรายได้จากกการบริหารกองหนี้ที่ซื้อมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 44.00 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) ERW (ซื้อ/10 บาท) ยังมี Upside เพิ่มเติมจากการขยายไปเมืองเซบูที่ฟิลิปปินส์
จากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ (2 มี.ค.) ผู้บริหารยังมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจโรงแรมในปี 2018 ที่จะเติบโตได้โดดเด่นต่อเนื่อง โดยคาดรายได้รวมจะเติบโตได้ราว 10% YoY ส่วน RevPar ที่ไม่รวม Hop-Inn จะเติบโตได้ที่ 4% YoY ขณะที่มี Upside เพิ่มเติมจากการขยาย Hop-Inn ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของฟิลิปปินส์ โดยจะนำแบรนด์ Hop-Inn และ Holiday Inn เข้าไปเพิ่มเติม (เดิมเปิดแค่ที่มะนิลาและมีแต่แบรนด์ Hop-Inn) ซึ่งเรายังไม่ได้นำประเด็นดังกล่าวรวมอยู่ในประมาณการ ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิใน 1Q18 จะเติบโตได้โดดเด่นอย่างต่อเนื่องจากเป็นช่วง High Season และไม่มีการ Renovate ของ JW Marriot ประกอบกับ ใน 1Q18 จะเปิด Hop-Inn เพิ่มอีก 3 แห่ง เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท อิง 2018 PE ที่ 44 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ย SD ย้อนหลัง 3 ปี เนื่องจากการเติบโตของ EBITDA ยังคงเติบโตได้ที่ระดับสูงถึง 30% ต่อปี ประกอบกับ ปี 2018 ยังเป็นปีที่รัฐบาลเน้นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ ERW มีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าที่คาดไว้
“ SET ปรับฐาน เน้นหุ้นเสี่ยงต่ำ”
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ผันผวนและมีความเสี่ยงขาลง คาดกรอบ 1790-1830 จุด ..... ปัจจัยเสี่ยงของตลาด คือ นักลงทุนจะเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน หลังทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และมีความไม่แน่นอนในเรื่องนโยบายการค้าของสหรัฐฯมากขึ้น (เป็นลบต่อการค้าระหว่างประเทศ) ขณะที่การรายงานผลประกอบการ 4Q-17 ที่สิ้นสุดลงและหุ้นขนาดใหญ่จะทยอยขึ้น “XD” สัปดาห์นี้ PTT, PTTGC, BH จะลดการเก็งกำไรในตลาดลง( หากหุ้นตัวนี้นไม่ได้มีปัจจัยบวกของตัวเอง) ….. ตัวแปรที่ควรติดตาม จะเป็น ความคืบหน้าเรื่องภาษีนำเข้าเหล็ก-อลูมิเนียมของสหรัฐฯ การประชุม ECB (8) และตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ(9)
กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ : ภาพตลาดดูเป็นลบและดัชนีฯมีกรอบบนที่จำกัด นักลงทุนควรพิจารณาในฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามากและขาดปัจจัยบวกเฉพาะตัว หรือหุ้นที่มีค่า P/E สูงๆ ..... กลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ เราแนะว่า ควรทำทั้งเพิ่มการถือเงินสดให้มากขึ้น (เพื่อรอซื้อหุ้นรอบใหม่) และโยกหุ้นจากกลุ่มเสี่ยง (ถูกขาย) มาเน้นที่หุ้นที่ Valuation ดีๆ หรือหุ้น Defensive ในพอร์ตให้มากขึ้น …… สัปดาห์นี้ เราเน้นหุ้น ที่ Valuation ดีๆ (กำไรดี ราคามีส่วนต่างจากราคาที่เหมาะสม ) คือ PTTGC BJC MTLS BEAUTY และ AH ส่วนหุ้นที่มีความเป็น Defensive คือ ทนความผันผวนของตลาดได้ เราเลือก CPALL และ BGRIM
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: SAWAD, TRUE, HARN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้นมีประเด็น
(+) JKN ปรับราคาซีรีส์อินเดียเป็นตอนละล้าน
JKN ปรับราคาซีรีส์อินเดียตอนละ 1 ล้าน หลังเรตติ้งพุ่งไม่ต่ำกว่า 2-3 คาดว่าซีรีส์อินเดียจะเข้ามาช่วยผลประกอบการทีวีดิจิตอล ซึ่งประเมินว่าซีรีส์อินเดียน่าจะได้รับความนิยมต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10ปี ในปี2018 ผู้บริหารคาดว่า รายได้และกำไรจะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้น 20-25% เนื่องจากมีลิขสิทธิ์ contentห กว่า 3,500 คอนเทนต์ และยอดรอรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าราวกว่า 20 ราย สำหรับ CNBC คาดว่าเบื้องต้นจะใช้งบลงทุน 1254 ล้านบาท มีสัญญาระยะเวลา 10 ปี 2018- 2027
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับการปรับราคาซีรีส์อินเดียของ JKN เรามองว่าหุ้นที่ได้รับประโยชน์ในครั้งนี้ คือ JKN และผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลอย่าง RS และ BEC เนื่องจากได้ซื้อและมีสต๊อกซีรีส์อินเดียในราคาเก่าซึ่งต่ำกว่าปัจจุบันถึง 50% และมีเพียงพอที่จะฉายได้ถึง 2-3ปี ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาของ JKN ในช่วง 2-3 ปีนี้ เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” RS ที่ราคาเป้าหมาย 35 บาท
(0) JMT: คาดรายได้ค่าติดตามทวงหนี้ลดลงจากข้อบังคับใหม่
สมาคมเช่าซื้อหนุนธปท.คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน เตือนสมาชิกรอสัญญามาตรฐานใหม่ ก่อนมีผลบังคับ 1 ก.ค. ด้านบริษัททวงหนี้เกือบ 500 แห่ง โอดได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าธรรมเนียม 300-400% ลุ้นบอร์ดกำกับทบทวนอัตราค่าฟีตามความเสี่ยง-ประเภทสินเชื่อ ก่อนประกาศใช้กลางปีนี้ (Source – ฐานเศรษฐกิจม 04-07.03.2018)
ความเห็น: จากข้อบังคับใหม่ต่อสัญญาเช่าซื้อที่ออกในช่วงที่ผ่านมา นอกจากจะส่งผลต่อผู้บริการสินเชื่อ เรามองว่าจะส่งผลต่อผู้รับจ้างติดตามหนี้ โดยทางกลุ่มบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจทวงถามหนี้คาดจะได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนอัตราการติดตามหนี้ จากเดิมที่ 100 บาท/งวด สำหรับลูกหนี้ธุรกิจบัตรเครดิต เพราะวงเงินสินเชื่อต่ำไม่เกิน 3 หมื่นบาท แต่เกณฑ์ใหม่ได้ปรับมาใช้ในทุกธุรกิจ สำหรับหุ้นที่ให้บริการติดตามหนี้อย่าง JMT นั้นเรามองว่าจะมีรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ลดลง อย่างไรก็ตามเรามองว่าบริษัทจะมีรายได้จากกการบริหารกองหนี้ที่ซื้อมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 44.00 บาท
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) ERW (ซื้อ/10 บาท) ยังมี Upside เพิ่มเติมจากการขยายไปเมืองเซบูที่ฟิลิปปินส์
จากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ (2 มี.ค.) ผู้บริหารยังมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจโรงแรมในปี 2018 ที่จะเติบโตได้โดดเด่นต่อเนื่อง โดยคาดรายได้รวมจะเติบโตได้ราว 10% YoY ส่วน RevPar ที่ไม่รวม Hop-Inn จะเติบโตได้ที่ 4% YoY ขณะที่มี Upside เพิ่มเติมจากการขยาย Hop-Inn ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของฟิลิปปินส์ โดยจะนำแบรนด์ Hop-Inn และ Holiday Inn เข้าไปเพิ่มเติม (เดิมเปิดแค่ที่มะนิลาและมีแต่แบรนด์ Hop-Inn) ซึ่งเรายังไม่ได้นำประเด็นดังกล่าวรวมอยู่ในประมาณการ ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิใน 1Q18 จะเติบโตได้โดดเด่นอย่างต่อเนื่องจากเป็นช่วง High Season และไม่มีการ Renovate ของ JW Marriot ประกอบกับ ใน 1Q18 จะเปิด Hop-Inn เพิ่มอีก 3 แห่ง เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท อิง 2018 PE ที่ 44 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ย SD ย้อนหลัง 3 ปี เนื่องจากการเติบโตของ EBITDA ยังคงเติบโตได้ที่ระดับสูงถึง 30% ต่อปี ประกอบกับ ปี 2018 ยังเป็นปีที่รัฐบาลเน้นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ ERW มีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าที่คาดไว้
(0) AMATA (ซื้อ/28.00 บาท) ปรับลดกำไรสุทธิจากราคาขายที่ดินที่ลดลงอย่างมีนัย
AMATA ตั้งเป้าในการขายที่ดินในปี 2018 ที่ 925 ไร่ จากยอดขายที่เลื่อนจากปี 2017 ประมาณ 400 ไร่ โดยเป้ายอดขายที่ดินปี 2018 ของบริษัทต่ำกว่าที่เราทำประมาณการไว้ที่ 1.1 พันไร่ เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ลดลง 11% อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท จากรายได้การขายที่ดินที่ลดลงจากเดิม 3.0 พันล้านบาท เป็น 1.9 พันล้านบาท โดยได้รับปัจจัย ดังนี้ 1) ปรับลดยอดขายที่ดินในปี 2018 ที่เป้าบริษัทต่ำกว่าที่เราคาดเดิม 1.1 พันไร่เป็น 925 ไร่ และ 2) ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงจากสัดส่วนการขายที่ดินที่ลดลงของนิคมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี อย่างไรก็ตามเรามองว่าบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการน้ำ และส่วนแบ่งในธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้จากการเช่าคาดจะเพิ่มขึ้นสูงในระยะยาวจากการสร้างโรงงานสำเร็จรูปในเช่าเพิ่มขึ้นจากการขยายโรงงานสำเร็จรูป และการปรับเปลี่ยนนโยบายการขายขาดที่ดินในนิคม อมตะ ซิตี้ ชลบุรี เป็นการให้เช่าที่แทนการขายขาด เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 28.00 บาท (อิงวิธี SOTP) จากเดิม 30.00 บาท
AMATA ตั้งเป้าในการขายที่ดินในปี 2018 ที่ 925 ไร่ จากยอดขายที่เลื่อนจากปี 2017 ประมาณ 400 ไร่ โดยเป้ายอดขายที่ดินปี 2018 ของบริษัทต่ำกว่าที่เราทำประมาณการไว้ที่ 1.1 พันไร่ เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ลดลง 11% อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท จากรายได้การขายที่ดินที่ลดลงจากเดิม 3.0 พันล้านบาท เป็น 1.9 พันล้านบาท โดยได้รับปัจจัย ดังนี้ 1) ปรับลดยอดขายที่ดินในปี 2018 ที่เป้าบริษัทต่ำกว่าที่เราคาดเดิม 1.1 พันไร่เป็น 925 ไร่ และ 2) ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงจากสัดส่วนการขายที่ดินที่ลดลงของนิคมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี อย่างไรก็ตามเรามองว่าบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการน้ำ และส่วนแบ่งในธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้จากการเช่าคาดจะเพิ่มขึ้นสูงในระยะยาวจากการสร้างโรงงานสำเร็จรูปในเช่าเพิ่มขึ้นจากการขยายโรงงานสำเร็จรูป และการปรับเปลี่ยนนโยบายการขายขาดที่ดินในนิคม อมตะ ซิตี้ ชลบุรี เป็นการให้เช่าที่แทนการขายขาด เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 28.00 บาท (อิงวิธี SOTP) จากเดิม 30.00 บาท
(0) WHAUP (ถือ/10 บาท) เติบโตจำกัดในช่วง 2 ปีข้างหน้า
เรามีมุมมองเป็นกลางต่อการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยแผนการดำเนินงานและโครงการในอนาคตยังคงเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ทำให้เรายังคงมุมมองเดิม คงประมาณการเดิมกำไรสุทธิปี 2018-19 เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี (CAGR 2017-19) เข้าสู่ช่วงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังเหลือกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกเพียง 63 MW ซึ่งจะทยอย COD ในช่วง 2018-19 (+6% CAGR) ด้านธุรกิจบริหารจัดการน้ำคาดมีรายได้เติบโตต่อเนื่องราว 11% CAGR 2017-19 ในขณะที่โครงการใหม่อย่างการวางท่อเพื่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติในนิคม Eastern seaboard 2, 4 และการเข้าบริหารจัดการน้ำใน CLMV คาดต้องใช้เวลาและยังไม่สร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีจากนี้ ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จนมี upside อยู่ราว 20% จากราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท แต่ด้วยการเติบโตที่ค่อนข้างจำกัดและไม่มีปัจจัยบวกใหม่ในระยะเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตาม WHAUP ปัจจุบันซื้อขายที่ 2018 PER ที่ 15x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 26x ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”
Analysts: Mongkol Puangpetra, Nontapat Rushtasomboon
OO6077
เรามีมุมมองเป็นกลางต่อการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยแผนการดำเนินงานและโครงการในอนาคตยังคงเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ทำให้เรายังคงมุมมองเดิม คงประมาณการเดิมกำไรสุทธิปี 2018-19 เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี (CAGR 2017-19) เข้าสู่ช่วงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังเหลือกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกเพียง 63 MW ซึ่งจะทยอย COD ในช่วง 2018-19 (+6% CAGR) ด้านธุรกิจบริหารจัดการน้ำคาดมีรายได้เติบโตต่อเนื่องราว 11% CAGR 2017-19 ในขณะที่โครงการใหม่อย่างการวางท่อเพื่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติในนิคม Eastern seaboard 2, 4 และการเข้าบริหารจัดการน้ำใน CLMV คาดต้องใช้เวลาและยังไม่สร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีจากนี้ ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จนมี upside อยู่ราว 20% จากราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท แต่ด้วยการเติบโตที่ค่อนข้างจำกัดและไม่มีปัจจัยบวกใหม่ในระยะเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตาม WHAUP ปัจจุบันซื้อขายที่ 2018 PER ที่ 15x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 26x ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”
Analysts: Mongkol Puangpetra, Nontapat Rushtasomboon
OO6077