- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 26 February 2018 17:26
- Hits: 1669
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อ/ถือค่าบวก…หลุด 1800 Wait & See”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศ : ปัจจัยต่างประเทศ – ดัชนี DJIA ระดับปิดพุ่งขึ้น 1.4% ติดตามแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสสหรัฐของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคนใหม่ในวันที่ 27 ก.พ.นี้ ซึ่งตลาดประเมินว่านายพาวเวล จะกล่าวถึงนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดงบดุลของเฟด ซึ่งต้องดูว่าจะเหมือนหรือแตกต่างไปจากนโยบายของนางเยลเลน (ประธานเฟดคนเก่า) หรือไม่ อย่างไร
ปัจจัยในประเทศ – วันศุกร์ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นดี SET ปิด +19.43 จุดที่ 1808.06 ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดในสัปดาห์นี้เป็น รายงานผลประกอบการ 4Q60 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งพบว่าบจ.มีกำไรดีกว่าคาดไม่มาก
สำหรับการลงทุนในปี 61 เราเน้นเลือกลงทุนเป็นรายบริษัท และดูจังหวะเข้า/ออกให้รอบคอบมากขึ้น เพราะตลาดหุ้นไทยปี 59-60 ปรับขึ้นมามาก (20%+14%=34%) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นโลกปรับขึ้น 29% และ 28% ในสองปีก่อน
หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น COM7 – กำไร 4Q60 ทำสถิติสูงสุด โดย +45%YoY, +40%QoQ เป็น 211 ล้านบาท และทั้งปี 60 มีกำไรสุทธิ 609 ล้านบาท +49%YoY โดยมาจากรายได้ที่เพิ่มและ SG&A/Sales ลดลง (มี Economy of scale มากขึ้น) แนวโน้ม 1Q61 และปี 61 ยังดีต่อเนื่องจาก1. ขยายสาขาและเฟรนไชส์, 2. ความต้องการซื้อสมาร์ทโฟนยังคงสูง, 3.รายได้จากออนไลน์ดีขึ้น 4.ธุรกิจกับ TRUE เติบโตต่อเนื่อง แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 18.90 บาท ในทางเทคนิคแนะซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 19-20 บาท Stop loss ถ้าหลุด 17.50 บาท
กลยุทธ์ทางพื้นฐาน : แนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS ในปี 61 เราเลือกเป็น 1. Investment recovery play (หุ้นเด่น AMATA ราคาพื้นฐาน 30 บาท), 2. Dividend play (หุ้นเด่น KKP ราคาพื้นฐาน 88 บาท), 3. Growth play (หุ้นเด่น IVL ราคาพื้นฐาน 65 บาท) และ 4. Tourism play (หุ้นเด่น ERW ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท) การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสม
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 1815-1820, 1830 จุด ต่ำกว่า 1800 จุดให้ Wait & See แนวรับ 1770-1760, 1750 จุด หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น PTT, CPN, HUMAN, SGP, AOT, GLOW, SOLAR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น VGI, TWPC, VNT, RML ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take profit เป็น COM7, RCL, IRPC, BANPU, HMPRO และหุ้นที่หลุด List เป็น LPH
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : จับตาประธานเฟดคนใหม่กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรส 27 ก.พ.นี้
# เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันศกร์ที่ผ่านมา โดยนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ
# ด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่าเฟดอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายภายหลังในปีนี้ซึ่งอาจหมายถึงการเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2%
# นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีมุมมองที่เป็นบวก ซึ่งเป็นเหตุผลที่จะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
# นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสสหรัฐในวันที่ 27 ก.พ. โดยจะเป็นการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินเป็นครั้งแรกของเขาต่อรัฐสภาสหรัฐ
+ ภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ : ดัชนี DJIA ปรับขึ้น 1.4% ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปบวก 0.1-0.2%
# ดัชนี DJIA พุ่งขึ้น 347.51 จุด หรือ 1.39% ปิดที่ 25,309.99 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 43.34 จุด หรือ 1.60% ปิดที่ 2,747.30 จุด ดัชนี Nasdaq ทะยาน 127.31 จุด หรือ 1.77% ปิดที่ 7,337.39 จุด
# ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 7.98 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 7,244.41 จุด เพราะการแข็งค่าของเงินปอนด์ ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปรับขึ้น 0.1-0.2%
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.886% เมื่อคืนนี้ หลังจากพุ่งแตะ 2.950% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีในวันพุธ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.171%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ปรับขึ้นต่อ 1.2-1.4%
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 63.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 92 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 67.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
# เบเกอร์ ฮิวจ์ เปิดเผยว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 1 แท่น สู่ระดับ 799 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2558
• ภาวะตลาดทองคำ : ราคาอ่อนเล็กน้อย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 2.4 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 1,330.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
- เงินบาทแข็งยังกดดดันกลุ่มส่งออก
# ผลประกอบการกลุ่มส่งออกปี 60 ออกมาไม่ดีนัก โดยทั้งยอดขายและมาร์จิ้นถูกกระทบจากบาทแข็ง ล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งขึ้น 3.5% เมื่อเทียบกับระดับปิดสิ้นปี 60 ที่ 32.54 บาท/ดอลลาร์ฯ และแข็งขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 60 ที่ 33.67 บาท/ดอลลาร์ฯ ประเด็นเรื่องบาทแข็งจึงยังกดดันผลประกอบการ 1Q61 ของกลุ่มส่งออกต่อ
# นักวิเคราะห์อยู่ระหว่างปรับสมมติฐานและประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มส่งออก โดยมีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงหลังจากใช้สมมติฐานบาทแข็งขึ้น ประกอบกับต้นทุนแรงงานก็ขยับขึ้นด้วย
# สำหรับกลุ่มอาหาร เราแนะนำถือทั้ง CPF, GFPT และ TU เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปพอควรแล้วธุรกิจยังมีความมั่นคง แต่ต้องรอเวลาฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เรากำลังปรับประมาณการและราคาพื้นฐาน ซึ่งคำแนะนำลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นถือเพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการเช่นกัน โดยบางบริษัทในกลุ่มนี้มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง (เป็นเงินสดสุทธิ) และจ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เช่น HANA, DELTA เป็นต้น
# สำหรับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง คือ บริษัทที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบแต่มีรายได้อยู่ในรูปบาท และบริษัทที่นำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพหรือขยายธุรกิจ แต่ผลกระทบทางด้านบวกสะท้อนในตลาดหุ้นน้อยกว่าด้านลบ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศ : ปัจจัยต่างประเทศ – ดัชนี DJIA ระดับปิดพุ่งขึ้น 1.4% ติดตามแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสสหรัฐของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคนใหม่ในวันที่ 27 ก.พ.นี้ ซึ่งตลาดประเมินว่านายพาวเวล จะกล่าวถึงนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดงบดุลของเฟด ซึ่งต้องดูว่าจะเหมือนหรือแตกต่างไปจากนโยบายของนางเยลเลน (ประธานเฟดคนเก่า) หรือไม่ อย่างไร
ปัจจัยในประเทศ – วันศุกร์ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นดี SET ปิด +19.43 จุดที่ 1808.06 ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดในสัปดาห์นี้เป็น รายงานผลประกอบการ 4Q60 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งพบว่าบจ.มีกำไรดีกว่าคาดไม่มาก
สำหรับการลงทุนในปี 61 เราเน้นเลือกลงทุนเป็นรายบริษัท และดูจังหวะเข้า/ออกให้รอบคอบมากขึ้น เพราะตลาดหุ้นไทยปี 59-60 ปรับขึ้นมามาก (20%+14%=34%) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นโลกปรับขึ้น 29% และ 28% ในสองปีก่อน
หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น COM7 – กำไร 4Q60 ทำสถิติสูงสุด โดย +45%YoY, +40%QoQ เป็น 211 ล้านบาท และทั้งปี 60 มีกำไรสุทธิ 609 ล้านบาท +49%YoY โดยมาจากรายได้ที่เพิ่มและ SG&A/Sales ลดลง (มี Economy of scale มากขึ้น) แนวโน้ม 1Q61 และปี 61 ยังดีต่อเนื่องจาก1. ขยายสาขาและเฟรนไชส์, 2. ความต้องการซื้อสมาร์ทโฟนยังคงสูง, 3.รายได้จากออนไลน์ดีขึ้น 4.ธุรกิจกับ TRUE เติบโตต่อเนื่อง แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 18.90 บาท ในทางเทคนิคแนะซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 19-20 บาท Stop loss ถ้าหลุด 17.50 บาท
กลยุทธ์ทางพื้นฐาน : แนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS ในปี 61 เราเลือกเป็น 1. Investment recovery play (หุ้นเด่น AMATA ราคาพื้นฐาน 30 บาท), 2. Dividend play (หุ้นเด่น KKP ราคาพื้นฐาน 88 บาท), 3. Growth play (หุ้นเด่น IVL ราคาพื้นฐาน 65 บาท) และ 4. Tourism play (หุ้นเด่น ERW ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท) การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสม
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 1815-1820, 1830 จุด ต่ำกว่า 1800 จุดให้ Wait & See แนวรับ 1770-1760, 1750 จุด หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น PTT, CPN, HUMAN, SGP, AOT, GLOW, SOLAR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น VGI, TWPC, VNT, RML ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take profit เป็น COM7, RCL, IRPC, BANPU, HMPRO และหุ้นที่หลุด List เป็น LPH
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : จับตาประธานเฟดคนใหม่กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรส 27 ก.พ.นี้
# เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันศกร์ที่ผ่านมา โดยนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ
# ด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่าเฟดอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายภายหลังในปีนี้ซึ่งอาจหมายถึงการเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2%
# นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีมุมมองที่เป็นบวก ซึ่งเป็นเหตุผลที่จะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
# นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสสหรัฐในวันที่ 27 ก.พ. โดยจะเป็นการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินเป็นครั้งแรกของเขาต่อรัฐสภาสหรัฐ
+ ภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ : ดัชนี DJIA ปรับขึ้น 1.4% ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปบวก 0.1-0.2%
# ดัชนี DJIA พุ่งขึ้น 347.51 จุด หรือ 1.39% ปิดที่ 25,309.99 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 43.34 จุด หรือ 1.60% ปิดที่ 2,747.30 จุด ดัชนี Nasdaq ทะยาน 127.31 จุด หรือ 1.77% ปิดที่ 7,337.39 จุด
# ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 7.98 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 7,244.41 จุด เพราะการแข็งค่าของเงินปอนด์ ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปรับขึ้น 0.1-0.2%
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.886% เมื่อคืนนี้ หลังจากพุ่งแตะ 2.950% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีในวันพุธ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.171%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ปรับขึ้นต่อ 1.2-1.4%
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 63.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 92 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 67.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
# เบเกอร์ ฮิวจ์ เปิดเผยว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 1 แท่น สู่ระดับ 799 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2558
• ภาวะตลาดทองคำ : ราคาอ่อนเล็กน้อย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 2.4 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 1,330.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
- เงินบาทแข็งยังกดดดันกลุ่มส่งออก
# ผลประกอบการกลุ่มส่งออกปี 60 ออกมาไม่ดีนัก โดยทั้งยอดขายและมาร์จิ้นถูกกระทบจากบาทแข็ง ล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งขึ้น 3.5% เมื่อเทียบกับระดับปิดสิ้นปี 60 ที่ 32.54 บาท/ดอลลาร์ฯ และแข็งขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 60 ที่ 33.67 บาท/ดอลลาร์ฯ ประเด็นเรื่องบาทแข็งจึงยังกดดันผลประกอบการ 1Q61 ของกลุ่มส่งออกต่อ
# นักวิเคราะห์อยู่ระหว่างปรับสมมติฐานและประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มส่งออก โดยมีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงหลังจากใช้สมมติฐานบาทแข็งขึ้น ประกอบกับต้นทุนแรงงานก็ขยับขึ้นด้วย
# สำหรับกลุ่มอาหาร เราแนะนำถือทั้ง CPF, GFPT และ TU เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปพอควรแล้วธุรกิจยังมีความมั่นคง แต่ต้องรอเวลาฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เรากำลังปรับประมาณการและราคาพื้นฐาน ซึ่งคำแนะนำลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นถือเพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการเช่นกัน โดยบางบริษัทในกลุ่มนี้มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง (เป็นเงินสดสุทธิ) และจ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เช่น HANA, DELTA เป็นต้น
# สำหรับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง คือ บริษัทที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบแต่มีรายได้อยู่ในรูปบาท และบริษัทที่นำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพหรือขยายธุรกิจ แต่ผลกระทบทางด้านบวกสะท้อนในตลาดหุ้นน้อยกว่าด้านลบ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO5889