- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 February 2018 22:56
- Hits: 7342
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“Rebound ตามตลาดดาวโจนส์”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
เรามองว่าดัชนีในวันนี้มีโอกาส rebound ขึ้นได้ในช่วงสั้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลัง bond yield สหรัฐฯลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.92% อย่างไรก็ตามความกังวลเรื่องปรับขึ้นดอกเบี้ยยังมีอยู่ และเรื่องการเลือกตั้งในประเทศยังเป็นปัจจัยที่รบกวนตลาด .... ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ rebound ขึ้นมา +0.7%, จำนวนขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 7,000 ราย ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 45 ปี, ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น +1.8% จากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลง, ดอลลาร์อ่อน .... ปัจจัยในประเทศ สนช.ไม่อนุมัติการคัดเลือก กกต. ชุดใหม่ เป็นปัจจัยที่รบกวนตลาดเพราะต้องไปเริ่มกระบวนการใหม่ที่จะใช้เวลาอีกประมาณ 155 วัน
กลยุทธ์การลงทุน:
คาดตลาดในวันนี้มีการ rebound แต่เป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น จึงแนะนำให้มีการลดพอร์ทหุ้นบางส่วนหากตลาดมีการปรับตัวขึ้นมาในวันนี้ การเก็งกำไรระหว่างวันยังคงเป็นการเลือกในลักษณะ “ selective buy” แนะนำหุ้นกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯที่ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมา หรือ เก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานช่วง 4Q17 จะออกมาดีอาทิ CENTEL, SPA, DDD, ERW, SAWAD .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ PTT*, PTTEP*, CPALL, BH
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: WICE, RS
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: PTTEP, RS, JWD
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTT*:
PTT มีมูลค่าซื้อขายสูงที่สุดในตลาด ช่วง 2 วันปรับตัวขึ้นมา +10% ในเชิงกลยุทธเรามองว่า PTT การแตกพาร์, เข้าซื้อ IRPC ทำให้ PTT ถือหุ้นเพิ่มเป็น 48%, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นถึง +1.8%, และข่าวการออก TOR ประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณภายใน เม.ย. นี้ และคาดจะเซ็นสัญญาราว ก.พ. 2019 โดยเราให้จุด cut loss ของ PTT ที่ 530 บาท
(+) WICE:
กำไร 4Q17 ลดจาก 28 เหลือ 12 ล้านบาท มาจากรายการพิเศษ แต่กำไรปกติของ WICE นั้นยังถือว่าดีตามคาด คือ 29 ล้านบาท เรายังคงมีมุมมองในทางบวกต่อ WICE จากการที่รุกธุรกิจเข้าไปยังจีน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น UWT เป็นผลบวกต่อ WICE ในระยะยาว นอกจากนี้ WICE มีแผนในการทำ M&A ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ WICE อีก …. อยู่ระหว่างการปรับราคาเหมาะสมโดย KTBST
(+) RS:
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไปช่วงวานนี้เกิดจากความกังวลเรื่องการจำหน่ายหุ้นซื้อคืน อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแผนการขายหุ้นคืนนี้มีผลกระทบต่อราคาหุ้นไม่มากเท่าที่ตลาดกังวล เนื่องจาก บริษัทฯ ชี้แจงว่า “ไม่ได้รีบร้อนที่จะขายหุ้นจำนวนนี้ และอาจขายน้อย กว่าจำนวน ที่ระบุมาก็ได้หาก การขายไปทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาด” ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงดีอยู่ .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTT*:
PTT มีมูลค่าซื้อขายสูงที่สุดในตลาด ช่วง 2 วันปรับตัวขึ้นมา +10% ในเชิงกลยุทธเรามองว่า PTT การแตกพาร์, เข้าซื้อ IRPC ทำให้ PTT ถือหุ้นเพิ่มเป็น 48%, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นถึง +1.8%, และข่าวการออก TOR ประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณภายใน เม.ย. นี้ และคาดจะเซ็นสัญญาราว ก.พ. 2019 โดยเราให้จุด cut loss ของ PTT ที่ 530 บาท
(+) WICE:
กำไร 4Q17 ลดจาก 28 เหลือ 12 ล้านบาท มาจากรายการพิเศษ แต่กำไรปกติของ WICE นั้นยังถือว่าดีตามคาด คือ 29 ล้านบาท เรายังคงมีมุมมองในทางบวกต่อ WICE จากการที่รุกธุรกิจเข้าไปยังจีน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น UWT เป็นผลบวกต่อ WICE ในระยะยาว นอกจากนี้ WICE มีแผนในการทำ M&A ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ WICE อีก …. อยู่ระหว่างการปรับราคาเหมาะสมโดย KTBST
(+) RS:
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไปช่วงวานนี้เกิดจากความกังวลเรื่องการจำหน่ายหุ้นซื้อคืน อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแผนการขายหุ้นคืนนี้มีผลกระทบต่อราคาหุ้นไม่มากเท่าที่ตลาดกังวล เนื่องจาก บริษัทฯ ชี้แจงว่า “ไม่ได้รีบร้อนที่จะขายหุ้นจำนวนนี้ และอาจขายน้อย กว่าจำนวน ที่ระบุมาก็ได้หาก การขายไปทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาด” ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงดีอยู่ .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.00 บาท หุ้นมีประเด็น
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
เรามองว่าดัชนีในวันนี้มีโอกาส rebound ขึ้นได้ในช่วงสั้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลัง bond yield สหรัฐฯลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.92% อย่างไรก็ตามความกังวลเรื่องปรับขึ้นดอกเบี้ยยังมีอยู่ และเรื่องการเลือกตั้งในประเทศยังเป็นปัจจัยที่รบกวนตลาด .... ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ rebound ขึ้นมา +0.7%, จำนวนขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 7,000 ราย ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 45 ปี, ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น +1.8% จากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลง, ดอลลาร์อ่อน .... ปัจจัยในประเทศ สนช.ไม่อนุมัติการคัดเลือก กกต. ชุดใหม่ เป็นปัจจัยที่รบกวนตลาดเพราะต้องไปเริ่มกระบวนการใหม่ที่จะใช้เวลาอีกประมาณ 155 วัน
กลยุทธ์การลงทุน:
คาดตลาดในวันนี้มีการ rebound แต่เป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น จึงแนะนำให้มีการลดพอร์ทหุ้นบางส่วนหากตลาดมีการปรับตัวขึ้นมาในวันนี้ การเก็งกำไรระหว่างวันยังคงเป็นการเลือกในลักษณะ “ selective buy” แนะนำหุ้นกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯที่ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมา หรือ เก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานช่วง 4Q17 จะออกมาดีอาทิ CENTEL, SPA, DDD, ERW, SAWAD .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ PTT*, PTTEP*, CPALL, BH
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: WICE, RS
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: PTTEP, RS, JWD
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTT*:
PTT มีมูลค่าซื้อขายสูงที่สุดในตลาด ช่วง 2 วันปรับตัวขึ้นมา +10% ในเชิงกลยุทธเรามองว่า PTT การแตกพาร์, เข้าซื้อ IRPC ทำให้ PTT ถือหุ้นเพิ่มเป็น 48%, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นถึง +1.8%, และข่าวการออก TOR ประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณภายใน เม.ย. นี้ และคาดจะเซ็นสัญญาราว ก.พ. 2019 โดยเราให้จุด cut loss ของ PTT ที่ 530 บาท
(+) WICE:
กำไร 4Q17 ลดจาก 28 เหลือ 12 ล้านบาท มาจากรายการพิเศษ แต่กำไรปกติของ WICE นั้นยังถือว่าดีตามคาด คือ 29 ล้านบาท เรายังคงมีมุมมองในทางบวกต่อ WICE จากการที่รุกธุรกิจเข้าไปยังจีน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น UWT เป็นผลบวกต่อ WICE ในระยะยาว นอกจากนี้ WICE มีแผนในการทำ M&A ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ WICE อีก …. อยู่ระหว่างการปรับราคาเหมาะสมโดย KTBST
(+) RS:
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไปช่วงวานนี้เกิดจากความกังวลเรื่องการจำหน่ายหุ้นซื้อคืน อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแผนการขายหุ้นคืนนี้มีผลกระทบต่อราคาหุ้นไม่มากเท่าที่ตลาดกังวล เนื่องจาก บริษัทฯ ชี้แจงว่า “ไม่ได้รีบร้อนที่จะขายหุ้นจำนวนนี้ และอาจขายน้อย กว่าจำนวน ที่ระบุมาก็ได้หาก การขายไปทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาด” ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงดีอยู่ .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTT*:
PTT มีมูลค่าซื้อขายสูงที่สุดในตลาด ช่วง 2 วันปรับตัวขึ้นมา +10% ในเชิงกลยุทธเรามองว่า PTT การแตกพาร์, เข้าซื้อ IRPC ทำให้ PTT ถือหุ้นเพิ่มเป็น 48%, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นถึง +1.8%, และข่าวการออก TOR ประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณภายใน เม.ย. นี้ และคาดจะเซ็นสัญญาราว ก.พ. 2019 โดยเราให้จุด cut loss ของ PTT ที่ 530 บาท
(+) WICE:
กำไร 4Q17 ลดจาก 28 เหลือ 12 ล้านบาท มาจากรายการพิเศษ แต่กำไรปกติของ WICE นั้นยังถือว่าดีตามคาด คือ 29 ล้านบาท เรายังคงมีมุมมองในทางบวกต่อ WICE จากการที่รุกธุรกิจเข้าไปยังจีน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น UWT เป็นผลบวกต่อ WICE ในระยะยาว นอกจากนี้ WICE มีแผนในการทำ M&A ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ WICE อีก …. อยู่ระหว่างการปรับราคาเหมาะสมโดย KTBST
(+) RS:
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไปช่วงวานนี้เกิดจากความกังวลเรื่องการจำหน่ายหุ้นซื้อคืน อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแผนการขายหุ้นคืนนี้มีผลกระทบต่อราคาหุ้นไม่มากเท่าที่ตลาดกังวล เนื่องจาก บริษัทฯ ชี้แจงว่า “ไม่ได้รีบร้อนที่จะขายหุ้นจำนวนนี้ และอาจขายน้อย กว่าจำนวน ที่ระบุมาก็ได้หาก การขายไปทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาด” ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงดีอยู่ .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.00 บาท หุ้นมีประเด็น
(0) BANK: ธปท. หารือการรวมตู้เอทีเอ็มให้เป็นรูปแบบไวท์ เลเบล หรือ เอทีเอ็มป้ายขาว
นายวิรไท ผู้ว่า ธปท. กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "Credit Spotlight On Thailand The link To Continental Southeast Asia" ได้กล่าวถึง กรณีที่สมาคมธนาคารไทยหารือร่วมกัน เพื่อปรับปรุงระบบเอทีเอ็มให้เป็นรูปแบบไวท์ เลเบล หรือ เอทีเอ็มป้ายขาว ไม่มีการแบ่งแยกค่ายธนาคาร โดยมีเอทีเอ็ม 70,000 เครื่องทั่วประเทศที่สามารถรับบัตรของทุกธนาคารได้ ถือเป็นเรื่องดี ที่ธนาคารพาณิชย์จะใช้ทรัพยากรในระบบการเงินร่วมกันเป็นการลดต้นทุนทางธุรกิจ ลดความซ้ำซ้อนในการมีเอทีเอ็มที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ สอดคล้องกับนโยบายที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์จัดตั้งตัวแทนธนาคาร หรือแบงกิ้ง เอเย่นต์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับบริการการเงินสะดวกและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากการรวมรวมเครื่อง ATM ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะช่วยลดต้นทุนของธนาคารได้ แต่อย่างไรก็ดี เรามองว่า การที่จะรวมเครื่อง ATM เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนด้าน ATM จำนวนมากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรและจะไม่อยากทำ ขณะที่เรายังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านเอทีเอ็มป้ายขาว ซึ่งหากไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมจะส่งกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารได้ โดยเราจะติดตามรายละเอียดต่อไป
นายวิรไท ผู้ว่า ธปท. กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "Credit Spotlight On Thailand The link To Continental Southeast Asia" ได้กล่าวถึง กรณีที่สมาคมธนาคารไทยหารือร่วมกัน เพื่อปรับปรุงระบบเอทีเอ็มให้เป็นรูปแบบไวท์ เลเบล หรือ เอทีเอ็มป้ายขาว ไม่มีการแบ่งแยกค่ายธนาคาร โดยมีเอทีเอ็ม 70,000 เครื่องทั่วประเทศที่สามารถรับบัตรของทุกธนาคารได้ ถือเป็นเรื่องดี ที่ธนาคารพาณิชย์จะใช้ทรัพยากรในระบบการเงินร่วมกันเป็นการลดต้นทุนทางธุรกิจ ลดความซ้ำซ้อนในการมีเอทีเอ็มที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ สอดคล้องกับนโยบายที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์จัดตั้งตัวแทนธนาคาร หรือแบงกิ้ง เอเย่นต์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับบริการการเงินสะดวกและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา)
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากการรวมรวมเครื่อง ATM ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะช่วยลดต้นทุนของธนาคารได้ แต่อย่างไรก็ดี เรามองว่า การที่จะรวมเครื่อง ATM เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนด้าน ATM จำนวนมากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรและจะไม่อยากทำ ขณะที่เรายังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านเอทีเอ็มป้ายขาว ซึ่งหากไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมจะส่งกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารได้ โดยเราจะติดตามรายละเอียดต่อไป
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) CPALL (ถือ.ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท)
CPALL รายงานกำไรปี 2017 ที่ 19,908 ล้านบาท +15% YoY กำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ในระดับสูงที่ 5.5 พันล้านบาท +28% YoY และ+11% QoQ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปี ประกอบกับCPALLมีการออกแสตมป์เพื่อกระตุ้นยอดขายและเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เราคาดว่ากำไรในปี 2018 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ที่ 20% จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้นทำให้ SSSG มีโอกาสปรับตัวขึ้น 2-3% ใน 1Q18 และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง CPALL ประกาศจ่ายปันผล 1.1 บาทต่อหุ้น XD 30 เมย. 2018 วันจ่าย 18 พค. 2018 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น CPALL ได้ปรับตัวขึ้นมามากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ valuation ปัจจุบันไม่ดึงดูด ดังนั้นเราจึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” โดยยังคงราคาเหมาะสมไว้ที่ 86 บาท
(+) CPALL (ถือ.ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท)
CPALL รายงานกำไรปี 2017 ที่ 19,908 ล้านบาท +15% YoY กำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ในระดับสูงที่ 5.5 พันล้านบาท +28% YoY และ+11% QoQ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปี ประกอบกับCPALLมีการออกแสตมป์เพื่อกระตุ้นยอดขายและเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เราคาดว่ากำไรในปี 2018 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ที่ 20% จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้นทำให้ SSSG มีโอกาสปรับตัวขึ้น 2-3% ใน 1Q18 และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง CPALL ประกาศจ่ายปันผล 1.1 บาทต่อหุ้น XD 30 เมย. 2018 วันจ่าย 18 พค. 2018 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น CPALL ได้ปรับตัวขึ้นมามากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ valuation ปัจจุบันไม่ดึงดูด ดังนั้นเราจึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” โดยยังคงราคาเหมาะสมไว้ที่ 86 บาท
(+) BEAUTY (ซื้อ.ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท)
BEAUTY ประกาศกำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ที่ 408 ลบ. เพิ่ม 66% YoY และ 27% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาดหนุนโดย 1) SSSG ที่แข็งแกร่งที่ 25.89% 2) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่ม 67.2% YoY 3) Wider margin และ SG& A to total sales ที่ปรับตัวลดลงจาก Economy of scale 4)รายได้ของ Consumer products, E-commerce และต่างประเทศเติบโตโดดเด่น และส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2017 ทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 1,229 ลบ. เพิ่มขึ้น 87% YoY เราคาดว่าจะเห็นแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของผลประกอบการอย่างต่อเนื่องใน 1Q18 ส่งผลจาก 1) การบริโภคในประเทศฟื้นตัวขึ้น และPurchasing power ที่เพิ่มขึ้น 2) SSSG ที่คาดว่าจะเติบโตสูงต่อเนื่องที่ double digits 3) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 15% YoY ส่งผลให้รายได้จากช่องทางการจัดจำหน่ายของ Beauty และ Non Beauty channels เติบโตโดดเด่น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงเป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม”ทั้งนี้ BEAUTY ประกาศจ่ายปันผล 0.258 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 3 พ.ค. 2018
BEAUTY ประกาศกำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ที่ 408 ลบ. เพิ่ม 66% YoY และ 27% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาดหนุนโดย 1) SSSG ที่แข็งแกร่งที่ 25.89% 2) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่ม 67.2% YoY 3) Wider margin และ SG& A to total sales ที่ปรับตัวลดลงจาก Economy of scale 4)รายได้ของ Consumer products, E-commerce และต่างประเทศเติบโตโดดเด่น และส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2017 ทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 1,229 ลบ. เพิ่มขึ้น 87% YoY เราคาดว่าจะเห็นแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของผลประกอบการอย่างต่อเนื่องใน 1Q18 ส่งผลจาก 1) การบริโภคในประเทศฟื้นตัวขึ้น และPurchasing power ที่เพิ่มขึ้น 2) SSSG ที่คาดว่าจะเติบโตสูงต่อเนื่องที่ double digits 3) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 15% YoY ส่งผลให้รายได้จากช่องทางการจัดจำหน่ายของ Beauty และ Non Beauty channels เติบโตโดดเด่น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงเป็นจังหวะให้เข้า “ซื้อสะสม”ทั้งนี้ BEAUTY ประกาศจ่ายปันผล 0.258 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 3 พ.ค. 2018
(+) THG (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 47.00 บาท)
THG รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ออกมาที่ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% YoY แต่ลดลง 9% QoQ ดีกว่าตลาดคาด 37% และดีกว่าที่เราคาด 17% โดยการเติบโต YoY มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจการแพทย์เป็นหลักกว่า 12% YoY เนื่องจากมีผู้ป่วยโรครุนแรงมากขึ้นทั้งโรงพยาบาลธนบุรี ธนบุรี 2 และโรงพยาบาลราษฎร์ยินดี แต่ลดลง QoQ ตามผลของฤดูกาล สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีกำไรสุทธิ 554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YoY ส่วนปี 2018 เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% YoY จากรายได้การแพทย์ในประเทศ การรับจ้างบริหารในต่างประเทศ และการโอนห้องโครงการ Jin Wellbeing County ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 47.00 บาท และคงคำแนะนำ ซื้อ
THG รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ออกมาที่ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% YoY แต่ลดลง 9% QoQ ดีกว่าตลาดคาด 37% และดีกว่าที่เราคาด 17% โดยการเติบโต YoY มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจการแพทย์เป็นหลักกว่า 12% YoY เนื่องจากมีผู้ป่วยโรครุนแรงมากขึ้นทั้งโรงพยาบาลธนบุรี ธนบุรี 2 และโรงพยาบาลราษฎร์ยินดี แต่ลดลง QoQ ตามผลของฤดูกาล สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีกำไรสุทธิ 554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YoY ส่วนปี 2018 เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% YoY จากรายได้การแพทย์ในประเทศ การรับจ้างบริหารในต่างประเทศ และการโอนห้องโครงการ Jin Wellbeing County ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 47.00 บาท และคงคำแนะนำ ซื้อ
(+) D (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 11.40 บาท)
D รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ออกมาที่ 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% YoY แต่ลดลง 11% QoQ ใกล้เคียงที่เราคาด แต่หากไม่รวมรายการพิเศษเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพยาบาลฟัน BIDH จะได้กำไรปกติอยู่ที่ 13 ล้านบาท เติบโต 25% YoY และ 6% QoQ โดยการเติบโต มาจากสาขาคลินิกต่างๆ ทำกำไรมากขึ้น สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 8% YoY แต่กำไรปกติอยู่ที่ 48 ล้านบาท เติบโต 13% YoY ส่วนปี 2018 เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 59 ล้านบาท เติบโต 28% YoY จากการเติบโตของสาขาเก่าและใหม่ที่จะเพิ่มอีกอย่างน้อยปีละ 3 – 4 สาขา ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 11.40 บาท (วิธี DCF อิง WACC = 7.8% และ Terminal growth = 3%) คงคำแนะนำ ซื้อ
D รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ออกมาที่ 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% YoY แต่ลดลง 11% QoQ ใกล้เคียงที่เราคาด แต่หากไม่รวมรายการพิเศษเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพยาบาลฟัน BIDH จะได้กำไรปกติอยู่ที่ 13 ล้านบาท เติบโต 25% YoY และ 6% QoQ โดยการเติบโต มาจากสาขาคลินิกต่างๆ ทำกำไรมากขึ้น สำหรับรวมทั้งปี 2017 มีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 8% YoY แต่กำไรปกติอยู่ที่ 48 ล้านบาท เติบโต 13% YoY ส่วนปี 2018 เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 59 ล้านบาท เติบโต 28% YoY จากการเติบโตของสาขาเก่าและใหม่ที่จะเพิ่มอีกอย่างน้อยปีละ 3 – 4 สาขา ทั้งนี้ เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 11.40 บาท (วิธี DCF อิง WACC = 7.8% และ Terminal growth = 3%) คงคำแนะนำ ซื้อ
(+) JMT (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 44.00 บาท)
JMT รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 99 ล้านบาท (+32%YoY, +0.5%QoQ) คิดเป็นกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 415 ล้านบาท (+40%) ใกล้เคียงกับที่เราคาดที่ 420 ล้านบาท โดยบริษัทซื้อ NPL เพิ่มขึ้นใน 4Q17 มูลหนี้ 3.7 พันล้านบาท สูงกว่าที่บริษัทซื้อใน 3Q17 ที่ 1.7 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีมูลหนี้ภายใต้การบริหารมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท%YoY, +0.5%QoQ) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์จากการซื้อหนี้มาบริหารต่ำกว่าเป้า เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 เพิ่มขึ้น 2% อยู่ที่ 564 ล้านบาท จากรายได้การบริหารหนี้สินที่ซื้อ และรายได้จากการให้บริหารติดตามที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่าบริษัทจะมีหนี้สินภายใต้การบริหารมากกว่า 1.7 แสนล้านบาท รวมทั้งรายได้จากธุรกิจประกันภัยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีมติในการลงทุนบริษัท ฟีนิกซ์ประกันภัย จำนวน 55% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 44.00 บาท อิง PEG ที่ 1.0x
JMT รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 99 ล้านบาท (+32%YoY, +0.5%QoQ) คิดเป็นกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 415 ล้านบาท (+40%) ใกล้เคียงกับที่เราคาดที่ 420 ล้านบาท โดยบริษัทซื้อ NPL เพิ่มขึ้นใน 4Q17 มูลหนี้ 3.7 พันล้านบาท สูงกว่าที่บริษัทซื้อใน 3Q17 ที่ 1.7 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีมูลหนี้ภายใต้การบริหารมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท%YoY, +0.5%QoQ) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์จากการซื้อหนี้มาบริหารต่ำกว่าเป้า เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 เพิ่มขึ้น 2% อยู่ที่ 564 ล้านบาท จากรายได้การบริหารหนี้สินที่ซื้อ และรายได้จากการให้บริหารติดตามที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่าบริษัทจะมีหนี้สินภายใต้การบริหารมากกว่า 1.7 แสนล้านบาท รวมทั้งรายได้จากธุรกิจประกันภัยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีมติในการลงทุนบริษัท ฟีนิกซ์ประกันภัย จำนวน 55% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 44.00 บาท อิง PEG ที่ 1.0x
(0) ANAN (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท)
ANAN รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 768 ล้านบาท ลดลง 14% YoY แต่เพิ่มขึ้น 445% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ อย่างไรก็ตาม ระดับกำไรดังกล่าวต่ำกว่าที่เคยคาดก่อนหน้านี้มาก เนื่องจากมีคอนโด 2 โครงการ เลื่อนโอนไปเป็นปี 2018 ได้แก่ โครงการ Ashton Asoke และโครงการ Venio Sukhumit 10 ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2017 อยู่ที่ 1,328 ล้านบาท ลดลง 16% YoY สำหรับปี 2018 เรายังคงคาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นที่ 2,087 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% YoY โดยจะได้ผลบวกเพิ่มจากคอนโด 2 โครงการที่เลื่อนมาจากปี 2017 บวกกับโครงการเดิมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จเริ่มโอนมากขึ้น ทั้งนี้ จากราคาหุ้น ANAN ที่ปรับตัวลดลงมากคาดว่าจะสะท้อนข่าวการเลื่อนโอนคอนโด 2 โครงการดังกล่าวแล้ว เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ จากเดิม รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยแนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2018 ที่จะกลับมาเติบโตได้โดดเด่นมาก โดยเรายังประเมินราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 6.70 บาท
ANAN รายงานกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 768 ล้านบาท ลดลง 14% YoY แต่เพิ่มขึ้น 445% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ อย่างไรก็ตาม ระดับกำไรดังกล่าวต่ำกว่าที่เคยคาดก่อนหน้านี้มาก เนื่องจากมีคอนโด 2 โครงการ เลื่อนโอนไปเป็นปี 2018 ได้แก่ โครงการ Ashton Asoke และโครงการ Venio Sukhumit 10 ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2017 อยู่ที่ 1,328 ล้านบาท ลดลง 16% YoY สำหรับปี 2018 เรายังคงคาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นที่ 2,087 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% YoY โดยจะได้ผลบวกเพิ่มจากคอนโด 2 โครงการที่เลื่อนมาจากปี 2017 บวกกับโครงการเดิมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จเริ่มโอนมากขึ้น ทั้งนี้ จากราคาหุ้น ANAN ที่ปรับตัวลดลงมากคาดว่าจะสะท้อนข่าวการเลื่อนโอนคอนโด 2 โครงการดังกล่าวแล้ว เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ จากเดิม รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยแนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2018 ที่จะกลับมาเติบโตได้โดดเด่นมาก โดยเรายังประเมินราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 6.70 บาท
Analysts: Mongkol Puangpetra, Nontapat Rushtasomboon
OO5849
OO5849